- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 1-7 มิ.ย. 61
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2560/61
มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการฯ จำนวน 13 โครงการ ดังนี้มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการฯ จำนวน 13 โครงการ ดังนี้
1) ด้านการผลิต มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560และวันที่ 12ธันวาคม 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่
- โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี
- โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่ หลักเกณฑ์ใหม่)
- โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
- โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561และ
- โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี 2561
2) ด้านการตลาด มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 และเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่
- โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
- โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
- โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี
- โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
3) ด้านการเงิน มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 เห็นชอบ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2560/61
มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการฯ จำนวน 13 โครงการ ดังนี้มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการฯ จำนวน 13 โครงการ ดังนี้
1) ด้านการผลิต มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560และวันที่ 12ธันวาคม 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่
- โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี
- โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่ หลักเกณฑ์ใหม่)
- โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
- โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561
- โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561และ
- โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี 2561
2) ด้านการตลาด มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 และเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่
- โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
- โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
- โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี
- โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
3) ด้านการเงิน มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 เห็นชอบ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,736 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,661 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,176 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,138 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.46
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 36,810 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 36,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.83
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,830 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,263 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40,063 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,270 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40,338 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.55 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 275 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 446 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,147 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,261 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 114 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 431 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,671 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,817 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.92 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 146 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 436 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,830 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 433 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,753 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 77 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.7204
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,736 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,661 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,176 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,138 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.46
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 36,810 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 36,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.83
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,830 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,263 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40,063 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,270 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40,338 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.55 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 275 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 446 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,147 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,261 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.67 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 114 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 431 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,671 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,817 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.92 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 146 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 436 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,830 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 433 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,753 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 77 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.7204
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวขาว 5% สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงเล็กน้อยจากระดับ 460-465 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557) ลงมาอยู่ที่ 455-460 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวจากต่างประทศ เช่น ฟิลิปปินส์ค่อนข้างทรงตัว ขณะที่อุปทานข้าวในประเทศมีจำกัด เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลวางแผนที่จะลดการเพาะปลูกข้าวขาวลงและให้เกษตรกรเปลี่ยนไปเพาะปลูกข้าวหอม และข้าวเหนียวซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า และสามารถขายได้ราคาดีกว่าข้าวขาว ทั้งนี้ คาดว่าราคาข้าวจะกลับมาอยู่ในภาวะอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงของฤดูเก็บเกี่ยวใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงกลางเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
กระทรวงเกษตร (the Ministry of Agriculture and Rural Development) รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี การส่งออกข้าวไปยังตลาดจีนมีปริมาณลดลงเหลือสัดส่วนเพียงร้อยละ 33.5 ของการส่งออกทั้งหมด จากร้อยละ 47.5 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดสำคัญอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียกลับมีการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 333 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกไปอิรักเพิ่มขึ้น 16 เท่า มาเลเซียเพิ่มขึ้น 3 เท่า ฮ่องกงเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.5 และส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวขาว 5% สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงเล็กน้อยจากระดับ 460-465 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557) ลงมาอยู่ที่ 455-460 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวจากต่างประทศ เช่น ฟิลิปปินส์ค่อนข้างทรงตัว ขณะที่อุปทานข้าวในประเทศมีจำกัด เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลวางแผนที่จะลดการเพาะปลูกข้าวขาวลงและให้เกษตรกรเปลี่ยนไปเพาะปลูกข้าวหอม และข้าวเหนียวซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า และสามารถขายได้ราคาดีกว่าข้าวขาว ทั้งนี้ คาดว่าราคาข้าวจะกลับมาอยู่ในภาวะอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงของฤดูเก็บเกี่ยวใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงกลางเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
กระทรวงเกษตร (the Ministry of Agriculture and Rural Development) รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี การส่งออกข้าวไปยังตลาดจีนมีปริมาณลดลงเหลือสัดส่วนเพียงร้อยละ 33.5 ของการส่งออกทั้งหมด จากร้อยละ 47.5 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดสำคัญอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียกลับมีการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 333 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกไปอิรักเพิ่มขึ้น 16 เท่า มาเลเซียเพิ่มขึ้น 3 เท่า ฮ่องกงเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.5 และส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
บังคลาเทศ
รัฐบาลบังคลาเทศได้พิจารณาปรับภาษีนำเข้าข้าวขึ้นเป็นร้อยละ 28 ในปีงบประมาณ 2561/62 เพื่อเป็นการ ปกป้องเกษตรกรในประเทศ หลังจากที่มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในฤดูการผลิต Aman และ Boro จะได้ผลดี
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ปรับภาษีนำเข้าข้าวลงเหลือร้อยละ 2 จากระดับร้อยละ 28 เพื่อกระตุ้นให้มีการนำเข้าข้าวมากขึ้น เพื่อชดเชยผลผลิตข้าวในประเทศที่เสียหายจากภาวะอุทกภัย แต่ในปีนี้ภาวะการผลิตข้าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงทำให้ความจำเป็นในการนำเข้าข้าวลดลง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินเดีย
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและสร้างรายได้มหาศาลแก่หลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากประชากรโลกหลายพื้นที่ยังรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก เริ่มจากจีนที่มีอัตราการบริโภคข้าวช่วง ปี 2560-2561 ปริมาณ 142.7 ล้านตัน อินเดีย 97.35 ล้านตัน อินโดนีเซีย 37.4 ล้านตัน บังกลาเทศ 35.2 ล้านตัน เวียดนาม 22.1 ล้านตัน ฟิลิปปินส์ 13 ล้านตัน เมียนมาร์ 9.9 ล้านตัน ไทย 11.17 ล้านตัน ญี่ปุ่น 8.45 ล้านตัน และบราซิล 8.1 ล้านตัน
ส่วนประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ปี 2560-2561 อินเดียส่งออก 12.5 ล้านตัน ไทย 10.2 ล้านตัน เวียดนาม 6.7 ล้านตัน ปากีสถาน 3.8 ล้านตัน เมียนมาร์ 3.3 ล้านตัน สหรัฐอเมริกา 3.3 ล้านตัน จีน 1.6 ล้านตัน กัมพูชา 1.25 ล้านตัน อุรุกวัย 8.1 แสนตัน และบราซิล 6.5 แสนตัน
ขณะที่เมื่อปี 2560 ไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณ 11.25 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนหน้าร้อยละ 14.77 ถือเป็นปริมาณสูงสุดในประวัติศาสตร์การส่งออกข้าวไทยมีมูลค่า 1.68 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.83
จากตัวเลขทั้งหมด ปีนี้ไทยน่าจะยังมีโอกาสส่งออกข้าวไปขายในตลาดต่างประเทศได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 10 ล้านตัน แม้โอกาสที่ว่าอาจจะทำให้ไทยเหนื่อยมากหน่อยก็ตาม
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2561 University of Arkansas (UAR) และ Louisiana State University (LSU) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวของสหรัฐ และ California Cooperative Rice Research Foundation (CCRF) ได้เปิดเผยผลสำเร็จของการคิดค้นและนำเสนอข้าวกลิ่นหอมพันธุ์ใหม่ 3 สายพันธุ์ คือ ข้าวจัสมิน Aroma 17 ข้าวจัสมิน CLj 01 และข้าวจัสมิน Calaroma-201
ทั้งนี้ การพัฒนาข้าวทั้ง 3 สายพันธุ์ เพื่อแข่งขันกับข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งเป็นข้าวที่มีคุณสมบัติความหอม ทัดเทียมกับข้าวหอมมะลิไทย แต่มีราคาต่ำกว่าข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามและส่งผลกระทบต่อการขยาย ตลาดข้าวหอมมะลิไทยในอนาคต การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวจัสมินของสหรัฐครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 จากที่สหรัฐเคยพยายาม พัฒนาข้าวสายพันธุ์ JAZZMAN ขึ้นมาสำเร็จเมื่อปี 2549 และข้าว JES ในปี 2552 โดยข้าว JAZZMAN ประสบความสำเร็จสามารถวางขาย 48 มลรัฐ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ส่วนข้าว JES
ซึ่งถูกนำมาวางจำหน่ายในแบรนด์ American Jazmine ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ให้ความเห็นว่า ไทยต้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ โดยวางตำแหน่งข้าวไทยเป็นนิชมาร์เก็ต (Niche Market) ให้มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง สร้างความรับรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่าง เน้นเรื่องการสร้างความเข้มแข็งในเรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงขยายตลาดสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในสหรัฐ เช่น กลุ่มฮิสแปนิก กลุ่มชาวอเมริกัน เจเนอเรชั่นเอ็กซ์และวาย เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการทำแผนการจัดกิจกรรมทางการตลาดข้าวครบวงจร เน้นสร้างส่งเสริมกิจกรรมการปรุงอาหารทางทีวี เพื่อสร้างการรับรู้ตรา Thai Hom Mali การเข้าร่วมงานเทศกาลอาหารท้องถิ่น และงานแสดงสินค้าอาหารนานาชาติ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุณลักษณะของ ข้าวจัสมิน 3 สายพันธุ์ ที่สหรัฐพัฒนาออกมาจะมีรสชาติ กลิ่นหอม และความนุ่มเหมือนกับข้าวหอมมะลิของไทยหรือไม่ หากคุณลักษณะด้อยกว่าก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่หากสามารถผลิตออกมาได้ใกล้เคียง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยมีคู่แข่งขันเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของไทยต้องเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิเพื่อรักษาคุณภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของกลิ่นหอม เพราะปัจจุบันกลิ่นหอมของข้าวหอมมะลิไทยลดน้อยลงจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีเพาะปลูกมากเกินไป และการเร่งเก็บเกี่ยว ทำให้กลิ่นหอมลดน้อยลง หรือกลิ่นหอมอยู่คงทนไม่นาน เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวสด แล้วนำมาอบ 3 รอบ เพื่อให้ความชื้นของข้าวลดลงเหลือ 15-16% ทำให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของกลิ่นลดน้อยลง หรือกลิ่นจางหายไปเร็วขึ้น
"ข้าวหอมมะลิของไทยหยุดการพัฒนาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเข้ามาส่งเสริมเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ ควบคุมการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวให้มีคุณภาพ เพื่อให้ข้าวหอมมะลิไทยยังคงรักษาคุณภาพข้าวเกรดพรีเมียม เพราะไม่เช่นนั้น ลูกค้าอาจหันไปสั่งซื้อข้าวหอมทั่วไปจากประเทศอื่นๆ ที่มีราคาถูก เช่น ข้าวหอมของกัมพูชา ข้าวหอมของเวียดนาม เป็นต้น" นาย ชูเกียรติ กล่าว
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
รัฐบาลบังคลาเทศได้พิจารณาปรับภาษีนำเข้าข้าวขึ้นเป็นร้อยละ 28 ในปีงบประมาณ 2561/62 เพื่อเป็นการ ปกป้องเกษตรกรในประเทศ หลังจากที่มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในฤดูการผลิต Aman และ Boro จะได้ผลดี
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ปรับภาษีนำเข้าข้าวลงเหลือร้อยละ 2 จากระดับร้อยละ 28 เพื่อกระตุ้นให้มีการนำเข้าข้าวมากขึ้น เพื่อชดเชยผลผลิตข้าวในประเทศที่เสียหายจากภาวะอุทกภัย แต่ในปีนี้ภาวะการผลิตข้าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงทำให้ความจำเป็นในการนำเข้าข้าวลดลง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
อินเดีย
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและสร้างรายได้มหาศาลแก่หลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากประชากรโลกหลายพื้นที่ยังรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก เริ่มจากจีนที่มีอัตราการบริโภคข้าวช่วง ปี 2560-2561 ปริมาณ 142.7 ล้านตัน อินเดีย 97.35 ล้านตัน อินโดนีเซีย 37.4 ล้านตัน บังกลาเทศ 35.2 ล้านตัน เวียดนาม 22.1 ล้านตัน ฟิลิปปินส์ 13 ล้านตัน เมียนมาร์ 9.9 ล้านตัน ไทย 11.17 ล้านตัน ญี่ปุ่น 8.45 ล้านตัน และบราซิล 8.1 ล้านตัน
ส่วนประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ปี 2560-2561 อินเดียส่งออก 12.5 ล้านตัน ไทย 10.2 ล้านตัน เวียดนาม 6.7 ล้านตัน ปากีสถาน 3.8 ล้านตัน เมียนมาร์ 3.3 ล้านตัน สหรัฐอเมริกา 3.3 ล้านตัน จีน 1.6 ล้านตัน กัมพูชา 1.25 ล้านตัน อุรุกวัย 8.1 แสนตัน และบราซิล 6.5 แสนตัน
ขณะที่เมื่อปี 2560 ไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณ 11.25 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนหน้าร้อยละ 14.77 ถือเป็นปริมาณสูงสุดในประวัติศาสตร์การส่งออกข้าวไทยมีมูลค่า 1.68 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.83
จากตัวเลขทั้งหมด ปีนี้ไทยน่าจะยังมีโอกาสส่งออกข้าวไปขายในตลาดต่างประเทศได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 10 ล้านตัน แม้โอกาสที่ว่าอาจจะทำให้ไทยเหนื่อยมากหน่อยก็ตาม
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2561 University of Arkansas (UAR) และ Louisiana State University (LSU) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวของสหรัฐ และ California Cooperative Rice Research Foundation (CCRF) ได้เปิดเผยผลสำเร็จของการคิดค้นและนำเสนอข้าวกลิ่นหอมพันธุ์ใหม่ 3 สายพันธุ์ คือ ข้าวจัสมิน Aroma 17 ข้าวจัสมิน CLj 01 และข้าวจัสมิน Calaroma-201
ทั้งนี้ การพัฒนาข้าวทั้ง 3 สายพันธุ์ เพื่อแข่งขันกับข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งเป็นข้าวที่มีคุณสมบัติความหอม ทัดเทียมกับข้าวหอมมะลิไทย แต่มีราคาต่ำกว่าข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามและส่งผลกระทบต่อการขยาย ตลาดข้าวหอมมะลิไทยในอนาคต การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวจัสมินของสหรัฐครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 จากที่สหรัฐเคยพยายาม พัฒนาข้าวสายพันธุ์ JAZZMAN ขึ้นมาสำเร็จเมื่อปี 2549 และข้าว JES ในปี 2552 โดยข้าว JAZZMAN ประสบความสำเร็จสามารถวางขาย 48 มลรัฐ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ส่วนข้าว JES
ซึ่งถูกนำมาวางจำหน่ายในแบรนด์ American Jazmine ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ให้ความเห็นว่า ไทยต้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ โดยวางตำแหน่งข้าวไทยเป็นนิชมาร์เก็ต (Niche Market) ให้มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง สร้างความรับรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่าง เน้นเรื่องการสร้างความเข้มแข็งในเรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงขยายตลาดสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในสหรัฐ เช่น กลุ่มฮิสแปนิก กลุ่มชาวอเมริกัน เจเนอเรชั่นเอ็กซ์และวาย เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการทำแผนการจัดกิจกรรมทางการตลาดข้าวครบวงจร เน้นสร้างส่งเสริมกิจกรรมการปรุงอาหารทางทีวี เพื่อสร้างการรับรู้ตรา Thai Hom Mali การเข้าร่วมงานเทศกาลอาหารท้องถิ่น และงานแสดงสินค้าอาหารนานาชาติ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุณลักษณะของ ข้าวจัสมิน 3 สายพันธุ์ ที่สหรัฐพัฒนาออกมาจะมีรสชาติ กลิ่นหอม และความนุ่มเหมือนกับข้าวหอมมะลิของไทยหรือไม่ หากคุณลักษณะด้อยกว่าก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่หากสามารถผลิตออกมาได้ใกล้เคียง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยมีคู่แข่งขันเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของไทยต้องเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิเพื่อรักษาคุณภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของกลิ่นหอม เพราะปัจจุบันกลิ่นหอมของข้าวหอมมะลิไทยลดน้อยลงจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีเพาะปลูกมากเกินไป และการเร่งเก็บเกี่ยว ทำให้กลิ่นหอมลดน้อยลง หรือกลิ่นหอมอยู่คงทนไม่นาน เช่น การเก็บเกี่ยวข้าวสด แล้วนำมาอบ 3 รอบ เพื่อให้ความชื้นของข้าวลดลงเหลือ 15-16% ทำให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของกลิ่นลดน้อยลง หรือกลิ่นจางหายไปเร็วขึ้น
"ข้าวหอมมะลิของไทยหยุดการพัฒนาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเข้ามาส่งเสริมเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ ควบคุมการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวให้มีคุณภาพ เพื่อให้ข้าวหอมมะลิไทยยังคงรักษาคุณภาพข้าวเกรดพรีเมียม เพราะไม่เช่นนั้น ลูกค้าอาจหันไปสั่งซื้อข้าวหอมทั่วไปจากประเทศอื่นๆ ที่มีราคาถูก เช่น ข้าวหอมของกัมพูชา ข้าวหอมของเวียดนาม เป็นต้น" นาย ชูเกียรติ กล่าว
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5 % สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.43 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.64 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.43 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5 % สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.51 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.57 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.91
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ10.53 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 10.62 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.38 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.83 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.58
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 344.40 ดอลลาร์สหรัฐ (10,925 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 348.50 ดอลลาร์สหรัฐ (11,069 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.18 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 144.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2561 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 382.00 เซนต์ (4,835 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 398.35 เซนต์ (5,048 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.11 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 213.00 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2561 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 – กันยายน 2561) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 7.87 ล้านไร่ ผลผลิต 27.24 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.46 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2560
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.71 ล้านไร่ ผลผลิต 30.50 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.50 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 9.64, 10.69 และ 1.14 ตามลำดับ โดยเดือนมิถุนายน 2561 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.13 ล้านตัน (ร้อยละ 4.15 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2561 ออกสู่ตลาดแล้ว (เดือนตุลาคม 2560 – พฤษภาคม 2561) ปริมาณ 23.78 ล้านตัน (ร้อยละ 87.31 ของผลผลิตทั้งหมด)
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.71 ล้านไร่ ผลผลิต 30.50 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.50 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 9.64, 10.69 และ 1.14 ตามลำดับ โดยเดือนมิถุนายน 2561 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.13 ล้านตัน (ร้อยละ 4.15 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2561 ออกสู่ตลาดแล้ว (เดือนตุลาคม 2560 – พฤษภาคม 2561) ปริมาณ 23.78 ล้านตัน (ร้อยละ 87.31 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ส่งผลให้ผลผลิตมันสำปะหลังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการมันสำปะหลัง ประกอบกับราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์สูง ส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์สูงด้วยเช่นกัน
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.53 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 2.55 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.78
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.93 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 2.70
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.53 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 2.55 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.78
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.93 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 2.70
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.22 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.20 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.28
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.53 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 16.65 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.72
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.53 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 16.65 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.72
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 238 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตันละ 7,549 บาท ราคาทรงตัวในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 10 บาท
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตันละ 17,541 บาท ราคาทรงตัวในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 23 บาท
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตันละ 17,541 บาท ราคาทรงตัวในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 23 บาท
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2561 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมิถุนายนจะมีประมาณ 1.281 ล้านตันคิด เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.218 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.336 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.227 ล้านตัน ของเดือนพฤษภาคม 2561 คิดเป็นร้อยละ 4.12 และร้อยละ 3.96 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.90 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 3.38 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 15.38
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 23.80 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 22.25 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.97
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ราคาน้ำมันปาล์มดิบซื้อขายล่วงหน้าตลาดมาเลเซียส่งมอบในเดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2,365 ริงกิตต่อตัน (596.69 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ลดลงร้อยละ 0.92 เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมันพืชถั่วเหลืองปรับตัวลดลงร้อยละ 4.9 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันปาล์มดิบยังได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของน้ำมันบริโภคที่มีส่วนร่วมของตลาดน้ำมันพืชโลก ซึ่งความต้องการน้ำมันปาล์มดิบของผู้นำเข้าชะลอตัวลง และการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียในเดือนพฤษภาคมลดลงร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนที่ผ่านมาปริมาณอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน รวมทั้งอินโดนีเซียผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลกในเดือนเมษายนชะลอตัวเช่นเดียวกัน ลดลงร้อยละ 13.6 อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ระดับ 2,364 – 2,408 ริงกิตต่อตัน
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,411.42 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.70 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,440.52 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.92 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.19
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 663.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.34 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 665.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.41 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.19
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 3 วัน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2561 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมิถุนายนจะมีประมาณ 1.281 ล้านตันคิด เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.218 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.336 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.227 ล้านตัน ของเดือนพฤษภาคม 2561 คิดเป็นร้อยละ 4.12 และร้อยละ 3.96 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.90 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 3.38 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 15.38
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 23.80 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 22.25 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 6.97
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ราคาน้ำมันปาล์มดิบซื้อขายล่วงหน้าตลาดมาเลเซียส่งมอบในเดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2,365 ริงกิตต่อตัน (596.69 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ลดลงร้อยละ 0.92 เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมันพืชถั่วเหลืองปรับตัวลดลงร้อยละ 4.9 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันปาล์มดิบยังได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของน้ำมันบริโภคที่มีส่วนร่วมของตลาดน้ำมันพืชโลก ซึ่งความต้องการน้ำมันปาล์มดิบของผู้นำเข้าชะลอตัวลง และการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียในเดือนพฤษภาคมลดลงร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนที่ผ่านมาปริมาณอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน รวมทั้งอินโดนีเซียผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลกในเดือนเมษายนชะลอตัวเช่นเดียวกัน ลดลงร้อยละ 13.6 อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ระดับ 2,364 – 2,408 ริงกิตต่อตัน
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,411.42 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.70 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,440.52 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.92 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.19
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 663.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.34 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 665.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.41 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.19
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 3 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
รายงานการผลิตน้ำตาลทรายของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ
ศูนย์บริหารการผลิต สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้รายงานการเก็บเกี่ยวอ้อยและ การผลิตน้ำตาลทรายตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 จนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2561 ว่ามีอ้อยเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานน้ำตาลไปแล้วจำนวน 134.93 ล้านตัน ผลิตเป็นน้ำตาลได้ 14.68 ล้านตัน แยกเป็นน้ำตาลทรายดิบ 10.69 ล้านตัน และน้ำตาลทรายขาว 3.99 ล้านตัน ค่าความหวานของอ้อยเฉลี่ย 12.48 ซี.ซี.เอส. ผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ยต่อตันอ้อย 108.79 กก.ต่อตันอ้อย
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.80 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งกากถั่วเหลืองใน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.80 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งกากถั่วเหลืองใน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 998.45 เซนต์ (11.79 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,028.30 เซนต์ (12.16 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.90
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 366.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.79บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 378.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.17 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.02
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 30.83 เซนต์ (21.83 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 31.29 เซนต์ (22.20 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.47
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 998.45 เซนต์ (11.79 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,028.30 เซนต์ (12.16 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.90
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 366.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.79บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 378.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.17 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.02
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 30.83 เซนต์ (21.83 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 31.29 เซนต์ (22.20 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.47
ยางพารา
สับปะรด
ผลผลิต ลดลง
ปริมาณผลผลิตสับปะรดที่ออกสู่ตลาดเดือนมิถุนายน2561 ประมาณ 0.230 ล้านตัน หรือร้อยละ 10.21 ของปริมาณผลผลิตรวม 2.248 ล้านตัน ลดลงจากปริมาณ 0.318 ล้านตัน ของเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 27.67 และเพิ่มขึ้นจากปริมาณ 0.157 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 46.49
ปริมาณผลผลิตสับปะรดที่ออกสู่ตลาดเดือนมิถุนายน2561 ประมาณ 0.230 ล้านตัน หรือร้อยละ 10.21 ของปริมาณผลผลิตรวม 2.248 ล้านตัน ลดลงจากปริมาณ 0.318 ล้านตัน ของเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 27.67 และเพิ่มขึ้นจากปริมาณ 0.157 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 46.49
การส่งออก ลดลง
ปี 2561 (มกราคม-เมษายน) มีการส่งออกสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์ปริมาณรวม 0.582 ล้านตันสด ลดลงจากปริมาณ 0.703 ล้านตันสด ในช่วงเดียวกันของปี 2560 หรือลดลงร้อยละ 17.21 โดยเดือนเมษายนส่งออกปริมาณ 0.124 ล้านต้นสด ลดลงจาก 0.151 ล้านตันสด ร้อยละ 17.88 และลดลงจาก 0.152 ล้านตันสด ของเดือนที่ผ่านมาและในช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 18.42
ปี 2561 (มกราคม-เมษายน) มีการส่งออกสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์ปริมาณรวม 0.582 ล้านตันสด ลดลงจากปริมาณ 0.703 ล้านตันสด ในช่วงเดียวกันของปี 2560 หรือลดลงร้อยละ 17.21 โดยเดือนเมษายนส่งออกปริมาณ 0.124 ล้านต้นสด ลดลงจาก 0.151 ล้านตันสด ร้อยละ 17.88 และลดลงจาก 0.152 ล้านตันสด ของเดือนที่ผ่านมาและในช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 18.42
ราคา ลดลง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตสับปะรดปีออกสู่ตลาดมาก โดยมีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณวันละ 10,000 - 12,000 ตัน ขณะที่ปัจจุบันความต้องการวัตถุดิบของโรงงานแปรรูปมีประมาณวันละ 9,000 - 10,000 ตัน ทำให้โรงงานแปรรูปปรับราคารับซื้อลดลง โดยราคาที่เกษตรกรขายได้ ดังนี้
- สับปะรดโรงงานกิโลกรัมละ 2.04 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 2.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.86 และลดลงจากกิโลกรัมละ 4.50 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 54.66
- สับปะรดบริโภคกิโลกรัมละ 6.26 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.63 และลดลงจากกิโลกรัมละ 10.28 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 39.10
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตสับปะรดปีออกสู่ตลาดมาก โดยมีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณวันละ 10,000 - 12,000 ตัน ขณะที่ปัจจุบันความต้องการวัตถุดิบของโรงงานแปรรูปมีประมาณวันละ 9,000 - 10,000 ตัน ทำให้โรงงานแปรรูปปรับราคารับซื้อลดลง โดยราคาที่เกษตรกรขายได้ ดังนี้
- สับปะรดโรงงานกิโลกรัมละ 2.04 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 2.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.86 และลดลงจากกิโลกรัมละ 4.50 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 54.66
- สับปะรดบริโภคกิโลกรัมละ 6.26 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.63 และลดลงจากกิโลกรัมละ 10.28 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 39.10
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 24.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.33
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 12.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.33
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 25.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.70
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 849.40 ดอลลาร์สหรัฐ (26.94 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 786.25 ดอลลาร์สหรัฐ (24.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.03 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.97 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 722.60 ดอลลาร์สหรัฐ (22.92 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 722.50 ดอลลาร์สหรัฐ (22.95 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 532.60 ดอลลาร์สหรัฐ (16.89 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 532.75 ดอลลาร์สหรัฐ (16.92 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.03 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 374.20 ดอลลาร์สหรัฐ (11.87 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 405.75 ดอลลาร์สหรัฐ (12.89 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.78 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 748.00 ดอลลาร์สหรัฐ (23.73 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 811.50 ดอลลาร์สหรัฐ (25.77 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.83 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 2.04 บาท
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 24.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.33
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 12.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.33
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 25.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.70
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 849.40 ดอลลาร์สหรัฐ (26.94 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 786.25 ดอลลาร์สหรัฐ (24.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.03 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.97 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 722.60 ดอลลาร์สหรัฐ (22.92 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 722.50 ดอลลาร์สหรัฐ (22.95 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 532.60 ดอลลาร์สหรัฐ (16.89 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 532.75 ดอลลาร์สหรัฐ (16.92 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.03 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 374.20 ดอลลาร์สหรัฐ (11.87 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 405.75 ดอลลาร์สหรัฐ (12.89 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.78 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 748.00 ดอลลาร์สหรัฐ (23.73 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 811.50 ดอลลาร์สหรัฐ (25.77 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.83 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 2.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ ดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.64 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 50.36 บาทของสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 6.51
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 35.72 บาทของสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 4.12
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 35.72 บาทของสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 4.12
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2561 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 91.98 เซนต์(กิโลกรัมละ 65.19 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 91.45 เซนต์ (กิโลกรัมละ 64.90 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.29 บาท
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,658 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,275 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,141 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ ในสัปดาห์นี้ภาวะตลาดสุกร ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 56.54 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 56.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.37 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 56.96 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 52.25 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 57.21 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 59.69 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,600 บาท (บวกลบ 58 บาท) ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 59.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไก่เนื้อสัปดาห์นี้ ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
สถานการณ์ตลาดไก่เนื้อสัปดาห์นี้ ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.83 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.66 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.49 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 34.21 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 41.03 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 8.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคอ่อนตัวลงจากเริ่มมีอาหารและสัตว์น้ำตามธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่ผลผลิตไข่ไก่ในท้องตลาดยังคงมีมาก แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคอ่อนตัวลงจากเริ่มมีอาหารและสัตว์น้ำตามธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่ผลผลิตไข่ไก่ในท้องตลาดยังคงมีมาก แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 277 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 279 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.72 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 284 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 279 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 274 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 18.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 311 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 328 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 325 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.92 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 336 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 346 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 297 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 349 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 328 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 325 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.92 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 336 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 346 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 297 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 349 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 340 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.91 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 90.89 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.08 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 91.15 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 85.07 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.63 บาท และภาคใต้กิโลกรัมละ 99.56 บาท
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 89.91 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 90.89 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.08 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 91.15 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 85.07 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.63 บาท และภาคใต้กิโลกรัมละ 99.56 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 71.64 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 72.59 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.31 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 91.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 67.82 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 71.64 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 72.59 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.31 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 91.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 67.82 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 1 – 7 มิถุนายน 2561) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 1 – 7 มิถุนายน 2561) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย ราคาที่ชาวประมงขายได้ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.67 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 38.97 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.70 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.00 บาท
2.2 ปลาช่อน ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.47 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 86.23 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.24 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาดกลาง (70 ตัว/กก.) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 129.45 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 121.45 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 8.00 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครขนาดกลาง (70 ตัว/กก.) ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 131.67 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 119.17 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.50 บาท
2.5 ปลาทู ปลาทูสดขนาดกลาง ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.47 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 76.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.52 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึก ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 161.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 165.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.67 บาท ราคาทรงตัวเทากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% (ระหว่างวันที่ 1 – 7 มิ.ย. 2561) ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 34.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.00 บาท
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย ราคาที่ชาวประมงขายได้ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.67 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 38.97 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.70 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.00 บาท
2.2 ปลาช่อน ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.47 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 86.23 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.24 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาดกลาง (70 ตัว/กก.) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 129.45 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 121.45 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 8.00 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครขนาดกลาง (70 ตัว/กก.) ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 131.67 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 119.17 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 12.50 บาท
2.5 ปลาทู ปลาทูสดขนาดกลาง ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.47 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 76.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.52 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึก ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 161.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 165.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.67 บาท ราคาทรงตัวเทากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% (ระหว่างวันที่ 1 – 7 มิ.ย. 2561) ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 34.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.00 บาท