- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 25-31 ตุลาคม 2564
ข้าว
1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณ
น้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,658 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,643 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.15
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,651 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,678 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,890 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 702 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,145 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,190 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 45 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,287 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,318 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 31 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,287 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,318 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 31 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.9699 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
กระทรวงการคลัง (the Department of Finance) รายงานว่า การนําเข้าข้าวในปีนี้นับจนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2564 มีจำนวนประมาณ 2.18 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่สำนักงานศุลกากร (The Bureau of Customs; BoC) รายงานว่า นับจนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2564 รัฐบาลสามารถเก็บภาษีนําเข้าข้าวได้แล้วประมาณ 14.3 พันล้านเปโซ (จากการนําเข้าข้าวที่คิดเป็นมูลค่าทั้งหมดประมาณ 40.81 พันล้านเปโซ หรือประมาณ 802.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งมากกว่างบประมาณที่กําหนดให้ใช้สำหรับกองทุนส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันข้าว (Rice Competitiveness Enhancement Fund; RCEF) ที่จัดสรรไว้ปีละ 10 พันล้านเปโซ หรือประมาณ 196.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งกองทุนนี้มีการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับโครงการและโปรแกรมต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าข้าวในปี้นี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 18,898 เปโซต่อตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 31 เปโซต่อตัน จาก 18,867 เปโซต่อตัน ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ส่งผลให้มูลค่าข้าวเฉลี่ยต่อตันเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2563 สำนักงานศุลกากร (BoC) สามารถจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวได้ประมาณ 15.47 พันล้านเปโซ ตามข้อกําหนดของกฎหมายการเปิดเสรีการค้าข้าว (Republic Act 11203 or the Rice Tariffication Law / the rice trade liberalization law) ที่ประกาศใช้ในปี 2561 ระบุภาษีนําเข้าข้าวที่จัดเก็บได้มากกว่า 10 พันล้านเปโซ จะถูกนําไปใช้เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินของเกษตรกรผ่านโครงการไถพรวนดินเพื่อการเกษตร การขยายโครงการประกันพืชผลในข้าว และโครงการกระจายพันธุ์พืช
ที่มา Oryza.com และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงปักกิ่ง รายงานว่า สำนักงานศุลกากรจีนรายงานปริมาณการนําเข้าข้าวเดือนสิงหาคม 2564 อยู่ที่ประมาณ 357,362.17 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.22 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2564
โดยประเทศหลักที่จีนนําเข้าข้าวในเดือนสิงหาคม 2564 ประกอบด้วย ประเทศอินเดีย 160,920.4 ตัน ประเทศเวียดนาม 69,835.55 ตัน และประเทศไทย 45,994.53 ตัน
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ประเทศจีนเคยนําเข้าข้าวมากที่สุดเมื่อปี 2560 โดยนําเข้าข้าวประมาณ 3.99 ล้านตัน และจากข้อมูลของสำนักงานศุลกากร (the General Administration of Customs of the People’s Republic of China; GACC) รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-สิงหาคม) ประเทศจีนนําเข้าข้าว
เป็นจำนวนมากถึง 3.178 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 112.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่นําเข้าประมาณ 1.498 ล้านตัน ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศจีนมักจะนําเข้าข้าวเฉลี่ยเดือนละประมาณ 100,000- 200,000 ตัน อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 การนําเข้าข้าวในแต่ละเดือนมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 300,000-700,000 ตัน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2564 จะมีการนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยหน่วยงานของทางการจีน คาดว่า
ในปีการตลาด 2563/64 (ตุลาคม 2563-กันยายน 2564) จะมีการนําเข้าข้าวมากถึง 4.9 ล้านตัน และในปีการตลาด 2564/65 (ตุลาคม 2564-กันยายน 2565) จะมีการนําเข้าข้าว ประมาณ 4.2 ล้านตัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในวงการข้าวนานาชาติ คาดว่าในปีการตลาด 2563/64 (ตุลาคม 2563-กันยายน 2564) จะมีการนําเข้าข้าวประมาณ 5.0 ล้านตัน และในปีการตลาด 2564/65 (ตุลาคม 2564-กันยายน 2565) จะมีการนําเข้าข้าวประมาณ 4.6 ล้านตัน
สำนักงานศุลกากร (GACC) รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-สิงหาคม) ประเทศจีนนําเข้าข้าวจากประเทศอินเดียมากที่สุด โดยนําเข้าจำนวน 730,781 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 589,239.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามด้วยเวียดนาม 711,372 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.3 ปากีสถาน 643,744 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 249.6 เมียนมาร์ 586,645 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.5 ไทย 268,550 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4 กัมพูชาร้อยละ 185,029 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8 ไต้หวัน 45,911 ตัน ลดลงร้อยละ 20.7 และลาว 5,980 ตัน ลดลงร้อยละ 55.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นต้น
ทั้งนี้ การนําเข้าข้าวจากอินเดียในเดือนสิงหาคม 2564 คิดเป็นร้อยละ 45 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมดในเดือนสิงหาคม และในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 การนําเข้าข้าวจากอินเดียคิดเป็นร้อยละ 25 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมด ซึ่งสาเหตุที่จีนนําเข้าข้าวจากอินเดียเป็นจำนวนมากนั้น เนื่องจากราคาข้าวของอินเดียถูกกว่าแหล่งอื่น ซึ่งราคาข้าวจากอินเดียเฉลี่ยอยู่ที่ 345 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในตลาดโลกที่ 454 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวเฉลี่ยของเมียนมาร์ และปากีสถาน อยู่ที่ 368 และ 433 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลําดับ
ประเทศจีนเคยนําเข้าข้าวสาร (Milled rice) จํานวนมากกว่าข้าวชนิดอื่น แต่ในปัจจุบันนี้ การนําเข้าข้าวส่วนใหญ่เป็นข้าวหัก (broken rice) คิดเป็นร้อยละ 50 ของการนําเข้าข้าวทั้งหมด โดยข้าวที่นําเข้าจากอินเดียเป็นข้าวหักคิดเป็นร้อยละ 97 และข้าวที่นําเข้าจากเมียนมาร์เป็นข้าวหักคิดเป็นร้อยละ 46 ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า ข้าวหักที่นําเข้าส่วนใหญ่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว
ผู้ค้าข้าวจีนระบุว่า ราคาข้าวหักนั้นอยู่ในระดับที่ดีมาก จนผู้นําเข้าไม่สนใจที่จะต้องไปขอส่วนแบ่งของโควตาอัตราภาษีศุลกากรของจีน (China’s tariff rate quota; TRQ) ซึ่งข้าวจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 1 แต่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีศุลกากรทั่วไป (the Most-Favored Nation; MFN) สำหรับข้าวนอกโควตาซึ่งมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 10 นอกจากนี้ ผู้นําเข้าสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีศุลกากร (the conventional tariff rate) สำหรับข้าวที่นําเข้าจากสมาชิกอาเซียน (เช่น เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา บรูไน สิงคโปร์ และมาเลเซีย) ได้เช่นกัน ซึ่งจีนมีข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement) และภาษีนําเข้าข้าวอยู่ที่อัตราร้อยละ 5
วงการอุตสาหกรรมข้าวตั้งข้อสังเกตว่า ราคาข้าวในต่างประเทศได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี 2564 ซึ่งในช่วงกลางเดือนกันยายน 2564 ราคาข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (ประมาณ 2,594 หยวนต่อตัน) ลดลงร้อยละ 30 จากราคาสูงสุดในปีนี้นอกจากนี้ ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ 415 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 2,698 หยวนต่อตัน) ลดลงร้อยละ 20 จากราคาสูงสุดในปี 2564 ขณะที่ข้าวขาว 5% ของปากีสถานราคาอยู่ที่ 360 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 2,340 หยวนต่อตัน) ลดลงร้อยละ 23 จากราคาสูงสุดในปี 2564
จากสถานการณ์ราคาเช่นนี้ ประกอบกับการนําเข้าข้าวที่แข็งแกร่งตลอดทั้งปี ได้ส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว โดยข้อมูลจากสำนักงานยุทธศาสตร์ทรัพยากรและอาหารแห่งชาติ (The National Food and Strategic Resource Administration; NFSRA) แสดงให้เห็นว่า ราคารับซื้อข้าวที่ระดับไร่นา (domestic procurement prices at the farm level) ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 413 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 2,685 หยวนต่อตัน) ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 นอกจากนี้ ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่าราคาประมูลข้าวในประเทศ (the domestic rice auction prices)
มีแนวโน้มลดลงตลอดปี 2564 โดยราคาอยู่ที่ 385 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ประมาณ 2,504 ต่อตัน) ในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรม คาดการณ์ว่าประเทศจีนยังคงมีข้าวในสต็อกประมาณ 115-174 ล้านตัน และแม้ว่าจีนจะนําเข้าข้าวในปริมาณมาก แต่ก็ยังคาดว่าการเก็บเกี่ยวข้าวในปี 2564 จะยังแข็งแกร่ง และอุปทานยังคงเพียงพอ
ทางด้านการส่งออกข้าวของจีนนั้น มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2560, 2561 และ 2562 โดยการส่งออกข้าวของจีนในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2564 มีจำนวนประมาณ 1.7 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่ลดลงร้อยละ 17.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยการส่งออกข้าวของจีนไปยังประเทศ
ในแอฟริกาลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากอินเดียมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น จากการที่ราคาข้าวถูกกว่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอินเดียมีมากกว่าจีน
ทั้งนี้ ราคาข้าวของจีนไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เนื่องจากราคาข้าวของต่างประเทศได้ปรับลดลงอย่างมากในปี 2564 ขณะที่ ราคาส่งออกข้าวของจีนได้ปรับลดลงประมาณร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในเดือนสิงหาคม 2563 ราคาอยู่ที่ประมาณ 354.8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งทำให้ยังสามารถส่งออกข้าวบางส่วนออกไปได้บ้าง แต่จากการที่จีนยังคงมีการใช้ข้าวแทนข้าวโพดในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ จึงทำให้ความสามารถในการส่งออกข้าวของจีนในระยะอันใกล้อาจจะลดลงไป
เว็บไซต์ของรัฐบาลจีนเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงเกษตรและกิจการชนบท (the Ministry of Agriculture and Rural Affairs) โดยคาดว่า ในปี 2564 ผลผลิตธัญพืชของจีนจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้จะเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องในระหว่างการเก็บเกี่ยวเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ร่วง (the autumn grain harves) ในมณฑลซานซี และส่านซี (Shanxi and Shaanxi provinces) ก็ตาม โดยคาดว่าผลผลิตธัญพืชทั้งหมด จะมีปริมาณมากกว่า 650 ล้านตัน ทั้งนี้ ธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วง (Autumn grains) มีสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของการผลิตธัญพืชของจีน ซึ่งรวมถึงธัญพืชฤดูร้อน และข้าวในช่วงต้นฤดู (summer grains and early season rice) โดยกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทระบุว่า ปริมาณผลผลิตธัญพืชในฤดูร้อนของปี 2564 (The 2021 summer grain output) คาดว่ามีปริมาณสูงถึง 145.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 2.97 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตข้าวต้นฤดู (The early season rice output) คาดว่าจะมีปริมาณสูงถึง 28 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 725,000 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ขณะนี้ การเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง (The autumn grain) กําลังดำเนินการไปโดยคาดว่ามีการเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วประมาณร้อยละ 80 ซึ่งทางการคาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันทางการระบุว่า ความเสียหายของผลผลิตธัญพืชที่เกิดจากผลกระทบจากฝนตกหนักในมณฑลซานซี ส่านซี และเหอหนาน นั้น (Shanxi, Shaanxi, and Henan provinces) คาดว่าจะถูกชดเชยโดยการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เพาะปลูกธัญพืชอื่นๆ ในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
ที่มา Oryza.com สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงปักกิ่ง และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.37 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.39 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.70 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.86 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.33
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.72 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.41 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.98 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.68 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.17 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.01
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 332.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,929.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 324.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,725.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.47 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 204.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 554.00 เซนต์ (7,277.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชล 534.00 เซนต์ (7,064.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.75 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 213.00 บา
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2565 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.669 ล้านไร่ ผลผลิต 32.687 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.381 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.537 ล้านไร่ ผลผลิต 31.713 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.325 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 ร้อยละ 3.07 และร้อยละ 1.68 ตามลำดับ โดยเดือนตุลาคม 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.59 ล้านตัน (ร้อยละ 4.75 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2565 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ปริมาณ 20.36 ล้านตัน (ร้อยละ 61.00 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.03 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 2.96
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.28 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.34 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.95
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.38 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.35 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,235 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,282 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 478 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,744 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (15,836 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนตุลาคมจะมีประมาณ 1.333 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.240 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.119 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.201 ล้านตันของเดือนกันยายน คิดเป็นร้อยละ 19.12 และร้อยละ 19.40 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 8.87 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 8.35 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.23
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 44.95 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 43.38 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.62
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ในปี 2564 ผลผลิตของมาเลเซียต่ำสุดในรอบ 5 ปี เพราะผู้ผลิตต้องต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และคาดการณ์ว่าผลผลิตจะยังคงต่ำไปจนถึงมีนาคม 2565 แต่คาดว่าจะผ่อนคลายข้อจำกัดการข้ามพรมแดนของแรงงานต่างชาติในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ในขณะที่ความต้องการน้ำมันปาล์มยังคงสูงทั้งจากนโยบายน้ำมันไบโอดีเซล B20 ในภาคการขนส่ง และความต้องการจากประเทศอินเดียและจีน ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นถึงร้อยละ 70 จากปี 2563
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 5,318.41 ดอลลาร์มาเลเซีย (43.16 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 5,233.23 ดอลลาร์มาเลเซีย (42.58 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.63
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,410.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (47.05 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,407.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (47.25 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.18
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
- ราคาน้ำตาลขายส่งในรัฐอุตตรประเทศของอินเดียสูงขึ้น เนื่องจากโรงงานต่างๆ ใช้โควต้าการขายน้ำตาลในเดือนนี้หมดแล้ว ด้านสมาคมพ่อค้าน้ำตาลบอมเบย์ คาดการณ์ว่าโควต้าการขายน้ำตาลสำหรับเดือนพฤศจิกายนจะอยู่ที่ประมาณ 2.2 - 2.3 ล้านตัน ในขณะเดียวกันผู้ค้าน้ำตาล กล่าวว่า ราคาน้ำมันดีเซลที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการขาดแคลนรถบรรทุกจะช่วยหนุนราคาน้ำตาล
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.88 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,236.72 เซนต์ (15.16 บาท/กก.)สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,227.84 เซนต์ (15.14 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.72
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 329.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.99 บาท/กก.)สูงขึ้นจากตันละ 324.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.88 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.64
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 61.80 เซนต์ (45.45 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 62.63 เซนต์ (46.34 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.33
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.88 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,236.72 เซนต์ (15.16 บาท/กก.)สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,227.84 เซนต์ (15.14 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.72
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 329.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.99 บาท/กก.)สูงขึ้นจากตันละ 324.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.88 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.64
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 61.80 เซนต์ (45.45 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 62.63 เซนต์ (46.34 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.33
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 ลดลงจากกิโลกรัมละ 30.46 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 21.21
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 972.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.04 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 967.50 ดอลลาร์สหรัฐ (32.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.53 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 911.60 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 906.50 ดอลลาร์สหรัฐ (30.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.56 แต่คงตัวในรูปเงินบาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,309.00 ดอลลาร์สหรัฐ (43.12 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,301.75 ดอลลาร์สหรัฐ (43.13 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 758.60 ดอลลาร์สหรัฐ (24.99 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 754.25 ดอลลาร์สหรัฐ (24.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58 แต่คงตัวในรูปเงินบาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,088.80 ดอลลาร์สหรัฐ (35.86 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตัน 1,082.75 ดอลลาร์สหรัฐ (35.87 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.56 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.16 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 44.44 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 9.63
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.04 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 30.66 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 15.07
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนธันวาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 111.27 เซนต์ (กิโลกรัมละ 81.87 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 108.00 เซนต์ (กิโลกรัมละ 79.93 บาท) ของสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 3.03 (เพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.94 บาท)
ร้อยละ 3.03 (เพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.94 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,838 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 1,743 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.46 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,526 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 1,473 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.58 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 999 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,006 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.69 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 69.80 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.17 คิดเป็นร้อยละ 2.39 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 63.34 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.82 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 72.52 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 71.82 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 1,900 บาท คิดเป็นร้อยละ 10.53 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.50 บาทสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 72.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.76 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดยังคงสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 32.19 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.07 บาทคิดเป็นร้อยละ 0.37 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 30.72 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 44.39 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 9.50 สูงขึ้นจากตัวละ 7.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.67 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 272 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 286 บาทคิดเป็นร้อยละ 5.09 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 296 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 294 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 264 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 2.95 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 352 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 354 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.39 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 360 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 366 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 333 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.95 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 95.09 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.06 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.03 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.04 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 95.92 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 88.13 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 104.79 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 79.76 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 79.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.97 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.90 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 78.19 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 25 – 31 ตุลาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.81 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.49 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.33 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.14 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.19 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 134.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.39 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 74.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.73 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 100.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.56 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 25 – 31 ตุลาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.81 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.49 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.33 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.14 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.19 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 134.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 69.39 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 74.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.73 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 100.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.56 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา