- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 20-26 พฤศจิกายน 2563
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,301 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,253 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,230 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,172 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.71
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,512 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.76
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 888 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,697 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 876 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,263 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.37 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 434 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 503 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,122 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,871 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.41 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 251 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,032 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,751 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.62 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 281 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0646 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนพฤศจิกายน 2563 ผลผลิต 501.109 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 496.069 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.02
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64
ณ เดือนพฤศจิกายน 2563 มีปริมาณผลผลิต 501.109 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.02 การใช้ในประเทศ 499.242 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 0.84 การส่งออก/นำเข้า 44.263 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.33 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 179.777 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 1.05
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ กัมพูชา อียู กายานา ปากีสถาน แอฟริกาใต้ ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา อินเดีย ปารากวัย ตุรกี อุรุกวัย และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน อิรัก เคนย่า ฟิลิปปินส์ เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บราซิล จีน เม็กซิโก และซาอุดิอาระเบีย
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร (Minister of Agriculture, Forestry and Fisheries) ระบุว่า ในปีนี้มีการส่งออกข้าวเปลือกผ่านทางชายแดนไปยังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละวันมีการส่งออกข้าวเปลือกหลายชนิดไปยังเวียดนามประมาณ 22,131 ตัน โดยผ่านจังหวัดตามแนวชายแดน ซึ่งมีการส่งออกไปประมาณวันละ 10,524 ตัน บางวันสูงถึง 22,131 ตัน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตร ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกไปยังเวียดนามแล้วประมาณ 1,536,350 ตัน ประกอบด้วยข้าวหลายพันธุ์ เช่น Rumduol ราคาประมาณตันละ 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ IR 504 ราคาประมาณตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ OM5451 ราคาประมาณตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าของกัมพูชา ระบุว่า พ่อค้าคนกลางจากเวียดนามจะเข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรของกัมพูชาโดยตรงแล้วส่งออกไปยังเวียดนามทางชายแดนวันละประมาณ 4 – 5 รถบรรทุก
เมื่อปีที่ผ่านมา ราคาข้าวในกัมพูชาตกต่ำเหลือประมาณ 170 – 190 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากพ่อค้าจากเวียดนามไม่เข้ามารับซื้อข้าว ซึ่งต่างจากปีนี้ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 240 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ยังคงมีพ่อค้าเข้ามารับซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยราคาในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 230 – 240 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน
ที่มา : Oryza.com
จีน
ประเทศจีนมีพื้นที่ดินเค็มที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้ประมาณ 83 ล้านไร่ ด้วยเหตุนี้ โครงการวิจัยและพัฒนา
ข้าวน้ำเค็ม จึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของจีนอย่างมาก โดยปกติแล้ว เมล็ดข้าวทั่วไปไม่สามารถงอก
ในน้ำที่มีความเค็มมากกว่า 0.3% เนื่องจากไม่สามารถดูดซึมน้ำได้และจะขาดน้ำตาย แต่ข้าวที่ทนน้ำเค็มได้ต้องสามารถงอกได้ในน้ำที่มีความเค็ม 0.9% - 1.2 % เนื่องจากเมื่อน้ำทะเลขึ้น ต้นข้าวจะจมอยู่ในน้ำทะเล 3 – 4 ชั่วโมง
ลักษณะเด่นของข้าวน้ำเค็ม เช่น รากยาว 30 – 40 ซม. ต้นข้าวที่โตเต็มที่จะสูงกว่าข้าวทั่วไป รวงข้าว
ขนาดใหญ่และมีสีแดงเลือดนก ต้นข้าวทนต่อน้ำท่วม/ต้านศัตรูพืชและโรคต่างๆ ต้นข้าวล้มยาก เป็นต้น นอกจากนี้
ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย/ยาฆ่าแมลง นับว่าเป็นข้าวที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง
การวิจัยข้าวน้ำเค็มของจีนได้เริ่มตั้งแต่ปี 2524 ต่อมาปี 2529 คุณ Cheng Risheng (ประธานสหกรณ์การปลูกข้าวน้ำเค็ม เมือง SuiXi มณฑลกวางตุ้ง) พบข้าวน้ำเค็มในป่าโดยบังเอิญและได้ดำเนินการวิจัยต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ต่อมาคุณ Yuan Longping (บิดาแห่งข้าวพันธุ์ไฮบริดที่มีชื่อเสียงอย่างมากในจีน) ได้วิจัย/พัฒนาต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตข้าวน้ำเค็มเพิ่มขึ้นโดยลำดับ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 ทีมงานวิจัยของ Yuan Longping ได้ติดตามผลผลิตข้าวน้ำเค็มของพื้นที่ทดลองในมณฑลเจียงซู พบว่า มีผลผลิตโดยเฉลี่ย 1,926 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งนับว่าผลผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หากคำนวณผลผลิตข้าวน้ำเค็ม โดยคิดจากพื้นที่ที่สามารถปลูกข้าวน้ำเค็มทั้งหมด ประมาณ 83 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวน้ำเค็มเฉลี่ย 600 กิโลกรัม/ไร่ พบว่า จะมีผลผลิตข้าวน้ำเค็มประมาณ 50 ล้านตัน ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงประชากรได้ถึง 200 ล้านชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยที่ระบุว่า การปลูกข้าวในน้ำเค็มเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3-5 ปี ทำให้พื้นดินที่ใช้ปลูกข้าวดังกล่าว เปลี่ยนเป็นดินที่สามารถปลูกพืชที่ไม่ทนเค็มได้ นอกจากนี้ การปลูกข้าวน้ำเค็มดึงดูดให้นกกระยางมาอาศัย
ซึ่งช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้ในระดับหนึ่ง
ความเห็นของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน :ขณะนี้จีนมีประชากรกว่า 1,400
ล้านคน แต่ละปีจึงมีความต้องการบริโภคข้าวมหาศาล ด้วยเหตุนี้จีนจึงได้ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่ม
ผลผลิตข้าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์ข้าว การเพิ่มคุณภาพข้าว การใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่ทันสมัย เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชาชนในประเทศ
อนึ่ง จีนมีพื้นดินเค็มที่ไม่สามารถปลูกข้าว ประมาณ 83 ล้านไร่ ด้วยเหตุนี้โครงการวิจัยและพัฒนาข้าวน้ำเค็ม จึงมีความสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตข้าวในประเทศ หากจีนพัฒนาให้สามารถปลูกข้าวในที่ดินเค็มประสบผลสำเร็จ
ทั้ง 83 ล้านไร่ จีนจะมีผลผลิตข้าวต่อปีเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านตัน ซึ่งจะมีปริมาณมากกว่าผลผลิตข้าวทั้งประเทศของไทย (ข้อมูลจากกรมการข้าว คาดการณ์ว่า ปีเพาะปลูก 2563/2564 พื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศไทยประมาณ 68.2
ล้านไร่ ให้ผลผลิตข้าวประมาณ 30.5 ล้านตันข้าวเปลือก ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 447 กิโลกรัม)
ขณะนี้จีนได้ทดลองปลูกข้าวน้ำเค็มประสบผลสำเร็จระดับหนึ่งและผลผลิตต่อไร่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 600-1,400 กิโลกรัม/ไร่) แต่จีนยังคงศึกษาวิจัยและพัฒนาข้าวน้ำเค็มอย่างเนื่องเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนจีน
ปัจจุบัน ในตลาดจีนมีข้าวน้ำเค็มวางจำหน่ายเชิงธุรกิจแล้ว ราคาจำหน่ายใกล้เคียงกับข้าวที่นำเข้า แต่เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่จึงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี
การที่จีนได้วิจัย/พัฒนาคุณภาพข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่า จีนอาจจะนำเข้าข้าวลดลงหรือส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องจับตามองทิศทางข้าวจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อจะสามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
บังคลาเทศ
หน่วยงาน Directorate General of Food (DGF) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านธัญพืชของรัฐบาลได้ประกาศ เปิดการประมูลนำเข้าข้าวนึ่ง ครั้งที่ 2 จำนวน 50,000 ตัน โดยกำหนดให้ยื่นข้อเสนอภายในวันที่ 2 ธันวาคมนี้และข้อเสนอต้องมีผลไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้โดยผู้สนใจต้องยื่นข้อเสนอราคาในเทอม CIF (CIF liner out terms, including cost, insurance, freight and ship unloading costs) และกำหนดให้มีการส่งมอบข้าวภายใน ระยะเวลา 40 วัน หลังจากที่มีการทำสัญญาแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หน่วยงาน DGF ได้ประกาศ เปิดการประมูลนำเข้าข้าวนึ่ง ครั้งที่ 1 จำนวน 50,000 ตัน ซึ่งถือเป็นการเปิดประมูลนำเข้าข้าวครั้งแรกใน รอบ 3 ปี เนื่องจากภาวะราคาข้าว
ในประเทศพุ่งสูงขึ้นขณะที่อุปทานข้าวมีน้อยลง โดยกำหนดให้ยื่นข้อเสนอภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยข้อเสนอต้องมีผลไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม และกำหนดให้มีการส่งมอบข้าวภายใน ระยะเวลา 40 วัน หลังจากที่มีการทำสัญญาแล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงการอาหาร ระบุว่า รัฐบาลบังคลาเทศมีแผนที่จะประมูลนำเข้าข้าวประมาณ 300,000 ตัน เนื่องจากเกิดภาวะอุปทานข้าวในประเทศขาดแคลน เพราะผลผลิตข้าวบางส่วนได้รับความเสียหาย
จากอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา
ที่มา Oryza.com
อิรัก
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 รัฐบาลอิรักได้ผ่านร่างงบประมาณประจำปีแบบขาดดุลแล้ว ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงการค้า (The Ministry of Trade; MoT) จะเริ่มประกาศให้มีการประมูลเพื่อนำเข้าข้าว และ
ข้าวสาลี (international rice and wheat tenders) โดยแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดรัฐบาลระบุว่า รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการจัดหาข้าวและข้าวสาลีซึ่งว่างเว้นไปกว่า 1 ปี กระทรวงการค้า (MoT) ได้จัดประมูลซื้อข้าวครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2562 โดยตกลงซื้อข้าว ประมาณ 120,000 ตัน จากประเทศ
ในแถบอเมริกาใต้และประมูลซื้อข้าวสาลีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยซื้อข้าวสาลีจากสหรัฐฯ และแคนาดา ประมาณ 400,000 ตัน ทางด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) อิรักนำเข้าข้าวแล้วประมาณ 700,000 ตัน โดยนำเข้าจากอินเดียประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวบาสมาติ ส่วนการนำเข้าข้าวจากเวียดนามมีแนวโน้มลดลงหลังจากที่รัฐบาลเวียดนามได้สั่งห้ามส่งออกข้าวชั่วคราวเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้อิรักหันมานำเข้าข้าวจากประเทศอินเดียมากขึ้น นอกจากทั้งสองประเทศดังกล่าวแล้ว อิรักยังนำเข้าข้าวจำนวนหนึ่งจากประเทศไทย และประเทศในแถบแอฟริกาใต้ เช่น อุรุกวัย อาร์เจนติน่า และนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 100,000 – 150,000 ตันต่อปี แต่ในปีนี้ผู้ส่งออกข้าวของสหรัฐฯ ไม่ได้มีการส่งออกข้าวมายังประเทศอิรักเพราะอุปทานข้าวในประเทศสหรัฐฯ อยู่ในภาวะตึงตัว ตามปกติแล้วอิรักมักจะนำเข้าข้าวในกลุ่มข้าวหอม เช่น ข้าวบาสมาติ ข้าวหอมเวียดนาม และยังนำเข้าข้าวขาวเมล็ดยาว รวมทั้งข้าวเมล็ดกลางด้วย และจากที่
ในปีนี้การนำเข้าข้าวส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าโดยเอกชนเนื่องจากรัฐบาลขาดแถลนงบประมาณในการจัดหาข้าวจากต่างประเทศนั้น จึงคาดว่าอิรักจะนำเข้าข้าว ส่วนใหญ่จากประเทศอินเดีย เนื่องจากมีราคาถูกกว่าประเทศอื่น
ที่มา Oryza.com
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,301 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,253 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,230 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,172 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.71
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,512 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.76
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 888 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,697 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 876 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,263 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.37 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 434 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 503 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,122 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,871 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.41 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 251 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,032 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,751 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.62 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 281 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0646 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนพฤศจิกายน 2563 ผลผลิต 501.109 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 496.069 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.02
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64
ณ เดือนพฤศจิกายน 2563 มีปริมาณผลผลิต 501.109 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.02 การใช้ในประเทศ 499.242 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 0.84 การส่งออก/นำเข้า 44.263 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.33 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 179.777 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 1.05
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ กัมพูชา อียู กายานา ปากีสถาน แอฟริกาใต้ ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา อินเดีย ปารากวัย ตุรกี อุรุกวัย และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน อิรัก เคนย่า ฟิลิปปินส์ เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บราซิล จีน เม็กซิโก และซาอุดิอาระเบีย
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร (Minister of Agriculture, Forestry and Fisheries) ระบุว่า ในปีนี้มีการส่งออกข้าวเปลือกผ่านทางชายแดนไปยังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละวันมีการส่งออกข้าวเปลือกหลายชนิดไปยังเวียดนามประมาณ 22,131 ตัน โดยผ่านจังหวัดตามแนวชายแดน ซึ่งมีการส่งออกไปประมาณวันละ 10,524 ตัน บางวันสูงถึง 22,131 ตัน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตร ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกไปยังเวียดนามแล้วประมาณ 1,536,350 ตัน ประกอบด้วยข้าวหลายพันธุ์ เช่น Rumduol ราคาประมาณตันละ 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ IR 504 ราคาประมาณตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ OM5451 ราคาประมาณตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าของกัมพูชา ระบุว่า พ่อค้าคนกลางจากเวียดนามจะเข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรของกัมพูชาโดยตรงแล้วส่งออกไปยังเวียดนามทางชายแดนวันละประมาณ 4 – 5 รถบรรทุก
เมื่อปีที่ผ่านมา ราคาข้าวในกัมพูชาตกต่ำเหลือประมาณ 170 – 190 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากพ่อค้าจากเวียดนามไม่เข้ามารับซื้อข้าว ซึ่งต่างจากปีนี้ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 240 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ยังคงมีพ่อค้าเข้ามารับซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยราคาในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 230 – 240 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน
ที่มา : Oryza.com
จีน
ประเทศจีนมีพื้นที่ดินเค็มที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้ประมาณ 83 ล้านไร่ ด้วยเหตุนี้ โครงการวิจัยและพัฒนา
ข้าวน้ำเค็ม จึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของจีนอย่างมาก โดยปกติแล้ว เมล็ดข้าวทั่วไปไม่สามารถงอก
ในน้ำที่มีความเค็มมากกว่า 0.3% เนื่องจากไม่สามารถดูดซึมน้ำได้และจะขาดน้ำตาย แต่ข้าวที่ทนน้ำเค็มได้ต้องสามารถงอกได้ในน้ำที่มีความเค็ม 0.9% - 1.2 % เนื่องจากเมื่อน้ำทะเลขึ้น ต้นข้าวจะจมอยู่ในน้ำทะเล 3 – 4 ชั่วโมง
ลักษณะเด่นของข้าวน้ำเค็ม เช่น รากยาว 30 – 40 ซม. ต้นข้าวที่โตเต็มที่จะสูงกว่าข้าวทั่วไป รวงข้าว
ขนาดใหญ่และมีสีแดงเลือดนก ต้นข้าวทนต่อน้ำท่วม/ต้านศัตรูพืชและโรคต่างๆ ต้นข้าวล้มยาก เป็นต้น นอกจากนี้
ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย/ยาฆ่าแมลง นับว่าเป็นข้าวที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง
การวิจัยข้าวน้ำเค็มของจีนได้เริ่มตั้งแต่ปี 2524 ต่อมาปี 2529 คุณ Cheng Risheng (ประธานสหกรณ์การปลูกข้าวน้ำเค็ม เมือง SuiXi มณฑลกวางตุ้ง) พบข้าวน้ำเค็มในป่าโดยบังเอิญและได้ดำเนินการวิจัยต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ต่อมาคุณ Yuan Longping (บิดาแห่งข้าวพันธุ์ไฮบริดที่มีชื่อเสียงอย่างมากในจีน) ได้วิจัย/พัฒนาต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตข้าวน้ำเค็มเพิ่มขึ้นโดยลำดับ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 ทีมงานวิจัยของ Yuan Longping ได้ติดตามผลผลิตข้าวน้ำเค็มของพื้นที่ทดลองในมณฑลเจียงซู พบว่า มีผลผลิตโดยเฉลี่ย 1,926 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งนับว่าผลผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หากคำนวณผลผลิตข้าวน้ำเค็ม โดยคิดจากพื้นที่ที่สามารถปลูกข้าวน้ำเค็มทั้งหมด ประมาณ 83 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวน้ำเค็มเฉลี่ย 600 กิโลกรัม/ไร่ พบว่า จะมีผลผลิตข้าวน้ำเค็มประมาณ 50 ล้านตัน ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงประชากรได้ถึง 200 ล้านชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยที่ระบุว่า การปลูกข้าวในน้ำเค็มเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3-5 ปี ทำให้พื้นดินที่ใช้ปลูกข้าวดังกล่าว เปลี่ยนเป็นดินที่สามารถปลูกพืชที่ไม่ทนเค็มได้ นอกจากนี้ การปลูกข้าวน้ำเค็มดึงดูดให้นกกระยางมาอาศัย
ซึ่งช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้ในระดับหนึ่ง
ความเห็นของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน :ขณะนี้จีนมีประชากรกว่า 1,400
ล้านคน แต่ละปีจึงมีความต้องการบริโภคข้าวมหาศาล ด้วยเหตุนี้จีนจึงได้ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่ม
ผลผลิตข้าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์ข้าว การเพิ่มคุณภาพข้าว การใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่ทันสมัย เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชาชนในประเทศ
อนึ่ง จีนมีพื้นดินเค็มที่ไม่สามารถปลูกข้าว ประมาณ 83 ล้านไร่ ด้วยเหตุนี้โครงการวิจัยและพัฒนาข้าวน้ำเค็ม จึงมีความสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตข้าวในประเทศ หากจีนพัฒนาให้สามารถปลูกข้าวในที่ดินเค็มประสบผลสำเร็จ
ทั้ง 83 ล้านไร่ จีนจะมีผลผลิตข้าวต่อปีเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านตัน ซึ่งจะมีปริมาณมากกว่าผลผลิตข้าวทั้งประเทศของไทย (ข้อมูลจากกรมการข้าว คาดการณ์ว่า ปีเพาะปลูก 2563/2564 พื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศไทยประมาณ 68.2
ล้านไร่ ให้ผลผลิตข้าวประมาณ 30.5 ล้านตันข้าวเปลือก ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 447 กิโลกรัม)
ขณะนี้จีนได้ทดลองปลูกข้าวน้ำเค็มประสบผลสำเร็จระดับหนึ่งและผลผลิตต่อไร่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 600-1,400 กิโลกรัม/ไร่) แต่จีนยังคงศึกษาวิจัยและพัฒนาข้าวน้ำเค็มอย่างเนื่องเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนจีน
ปัจจุบัน ในตลาดจีนมีข้าวน้ำเค็มวางจำหน่ายเชิงธุรกิจแล้ว ราคาจำหน่ายใกล้เคียงกับข้าวที่นำเข้า แต่เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่จึงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี
การที่จีนได้วิจัย/พัฒนาคุณภาพข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่า จีนอาจจะนำเข้าข้าวลดลงหรือส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องจับตามองทิศทางข้าวจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อจะสามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
บังคลาเทศ
หน่วยงาน Directorate General of Food (DGF) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านธัญพืชของรัฐบาลได้ประกาศ เปิดการประมูลนำเข้าข้าวนึ่ง ครั้งที่ 2 จำนวน 50,000 ตัน โดยกำหนดให้ยื่นข้อเสนอภายในวันที่ 2 ธันวาคมนี้และข้อเสนอต้องมีผลไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้โดยผู้สนใจต้องยื่นข้อเสนอราคาในเทอม CIF (CIF liner out terms, including cost, insurance, freight and ship unloading costs) และกำหนดให้มีการส่งมอบข้าวภายใน ระยะเวลา 40 วัน หลังจากที่มีการทำสัญญาแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หน่วยงาน DGF ได้ประกาศ เปิดการประมูลนำเข้าข้าวนึ่ง ครั้งที่ 1 จำนวน 50,000 ตัน ซึ่งถือเป็นการเปิดประมูลนำเข้าข้าวครั้งแรกใน รอบ 3 ปี เนื่องจากภาวะราคาข้าว
ในประเทศพุ่งสูงขึ้นขณะที่อุปทานข้าวมีน้อยลง โดยกำหนดให้ยื่นข้อเสนอภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยข้อเสนอต้องมีผลไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม และกำหนดให้มีการส่งมอบข้าวภายใน ระยะเวลา 40 วัน หลังจากที่มีการทำสัญญาแล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงการอาหาร ระบุว่า รัฐบาลบังคลาเทศมีแผนที่จะประมูลนำเข้าข้าวประมาณ 300,000 ตัน เนื่องจากเกิดภาวะอุปทานข้าวในประเทศขาดแคลน เพราะผลผลิตข้าวบางส่วนได้รับความเสียหาย
จากอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา
ที่มา Oryza.com
อิรัก
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 รัฐบาลอิรักได้ผ่านร่างงบประมาณประจำปีแบบขาดดุลแล้ว ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงการค้า (The Ministry of Trade; MoT) จะเริ่มประกาศให้มีการประมูลเพื่อนำเข้าข้าว และ
ข้าวสาลี (international rice and wheat tenders) โดยแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดรัฐบาลระบุว่า รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการจัดหาข้าวและข้าวสาลีซึ่งว่างเว้นไปกว่า 1 ปี กระทรวงการค้า (MoT) ได้จัดประมูลซื้อข้าวครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2562 โดยตกลงซื้อข้าว ประมาณ 120,000 ตัน จากประเทศ
ในแถบอเมริกาใต้และประมูลซื้อข้าวสาลีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยซื้อข้าวสาลีจากสหรัฐฯ และแคนาดา ประมาณ 400,000 ตัน ทางด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) อิรักนำเข้าข้าวแล้วประมาณ 700,000 ตัน โดยนำเข้าจากอินเดียประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวบาสมาติ ส่วนการนำเข้าข้าวจากเวียดนามมีแนวโน้มลดลงหลังจากที่รัฐบาลเวียดนามได้สั่งห้ามส่งออกข้าวชั่วคราวเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้อิรักหันมานำเข้าข้าวจากประเทศอินเดียมากขึ้น นอกจากทั้งสองประเทศดังกล่าวแล้ว อิรักยังนำเข้าข้าวจำนวนหนึ่งจากประเทศไทย และประเทศในแถบแอฟริกาใต้ เช่น อุรุกวัย อาร์เจนติน่า และนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 100,000 – 150,000 ตันต่อปี แต่ในปีนี้ผู้ส่งออกข้าวของสหรัฐฯ ไม่ได้มีการส่งออกข้าวมายังประเทศอิรักเพราะอุปทานข้าวในประเทศสหรัฐฯ อยู่ในภาวะตึงตัว ตามปกติแล้วอิรักมักจะนำเข้าข้าวในกลุ่มข้าวหอม เช่น ข้าวบาสมาติ ข้าวหอมเวียดนาม และยังนำเข้าข้าวขาวเมล็ดยาว รวมทั้งข้าวเมล็ดกลางด้วย และจากที่
ในปีนี้การนำเข้าข้าวส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าโดยเอกชนเนื่องจากรัฐบาลขาดแถลนงบประมาณในการจัดหาข้าวจากต่างประเทศนั้น จึงคาดว่าอิรักจะนำเข้าข้าว ส่วนใหญ่จากประเทศอินเดีย เนื่องจากมีราคาถูกกว่าประเทศอื่น
ที่มา Oryza.com
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.74 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.90 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 5.96 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.02 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.01 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.71 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.40 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.69
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 304.25 ดอลลาร์สหรัฐ (9,147 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 304.50 ดอลลาร์สหรัฐ (9,129 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 แต่สูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 18 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 423.80 เซนต์ (5,088 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 418.96 เซนต์ (5,015 บาท/ตัน)ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.16 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 73 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.86 ล้านไร่ ผลผลิต 28.980 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.70 ล้านไร่ ผลผลิต 27.347 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.14 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.82 ร้อยละ 5.97 และร้อยละ 4.07 ตามลำดับ โดยเดือนพฤศจิกายน 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.54 ล้านตัน (ร้อยละ 5.30 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.49 ล้านตัน (ร้อยละ 63.79 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา สำหรับโรงงานแป้งมันสำปะหลังและลานมันเส้นเริ่มเปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.86 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.82 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.20
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.35 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.95 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.72
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.45 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.23 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.04
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.35 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 13.28 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.53
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 273 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,185 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 255 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,945 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 7.06
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 468 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,031 บาทต่อตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 460 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13791, บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.74
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤศจิกายนจะมีประมาณ 0.985 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.177 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.142 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.206 ล้านตัน ของเดือนตุลาคม คิดเป็นร้อยละ 13.75 และร้อยละ 14.08 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 6.07 บาท ลดลงจาก กก.ละ 7.14 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 14.99
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 37.22 บาท ลดลงจาก กก.ละ 37.75 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.40
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ตลาดน้ำมันปาล์มในจีนคาดว่าจะโตขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น GMO ซึ่งมักถูกพบในถั่วเหลือง ซึ่งงานวิจัยของ Beijing Institute of Technology พบว่า ร้อยละ 59 ของผู้บริโภค ไม่ชอบอาหารที่เป็น GMO ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การบริโภคน้ำมันปาล์มในจีนจะเติบโตขึ้นร้อยละ 3.5 ในปี 2564 ธุรกิจ HOTPOT ที่เติบโตมากในจีนเริ่มสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันปาล์มแทนการใช้น้ำมันที่มาจากสัตว์ เนื่องจากปัญหาเรื่องสุขภาพและโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรทำให้ขาดแคลนสุกร
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,482.15 ดอลลาร์มาเลเซีย (26.20 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 3,513.85 ดอลลาร์มาเลเซีย (26.23 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.90
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 873.13 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26.62 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 874.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26.57 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.10
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
- สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,186.90 เซนต์ (13.30 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,163.48 เซนต์ (13.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.01
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 396.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.08 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 392.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.93 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.98
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 38.36 เซนต์ (25.78 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 37.87 เซนต์ (25.38 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.29
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,186.90 เซนต์ (13.30 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,163.48 เซนต์ (13.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.01
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 396.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.08 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 392.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.93 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.98
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 38.36 เซนต์ (25.78 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 37.87 เซนต์ (25.38 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.29
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.11 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 22.19 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.15
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,098.75 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,103.75 ดอลลาร์สหรัฐ (33.09 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.06 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 897.50 ดอลลาร์สหรัฐ (26.98 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 902.00 ดอลลาร์สหรัฐ (27.04 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.06 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,366.50 ดอลลาร์สหรัฐ (41.08 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,373.00 ดอลลาร์สหรัฐ (41.16 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.08 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 663.25 ดอลลาร์สหรัฐ (19.94 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 666.25 ดอลลาร์สหรัฐ (19.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,259.25 ดอลลาร์สหรัฐ (37.86 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,265.25 ดอลลาร์สหรัฐ (37.93 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.07 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.23 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 53.24 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสดสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.82 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 25.91 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 11.23
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนมีนาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 72.66 เซนต์(กิโลกรัมละ 48.85 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 69.23 เซ็นต์ (กิโลกรัม 46.40 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.95 สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 2.45 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,862 บาท ลดลงจาก 1,918 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 2.92 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,862 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,480 บาท ลดลงจาก 1,547 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 4.33 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,547 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 933 บาท เท่ากับของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 74.46 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 74.71 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.33 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 71.73 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.46 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 75.81 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 74.60 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,500 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.83 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 74.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.90
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อไก่สอดคล้องต่อความต้องการบริโภค และอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 32.72 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.74 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.06 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 31.47 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.92 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 8.50 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 7.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 13.33
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค และอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 287 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 290 บาทของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.03 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 305 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 280 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 286 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 290 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 347 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 348 บาทของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.28 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 359 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 360 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 327 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 347 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 390 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 98.05 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 97.95 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.10 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.40 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 99.37 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 92.19 บาท และภาคใต้ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 78.91 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 77.82 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.38 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.54 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 76.67 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 20 – 26 พฤศจิกายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.96 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 50.02 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.94 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.57 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.89 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.54 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.08 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 77.59 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.51 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.19 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.50 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 33.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.50 บาท สำหรับปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 20 – 26 พฤศจิกายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.96 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 50.02 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.94 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.57 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.89 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.54 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.08 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 77.59 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 10.51 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 95.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.19 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.50 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 33.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.50 บาท สำหรับปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา