- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 28 สิงหาคม-3 กันยายน 2563
ข้าว
1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,181 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,390 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.45
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,502 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,372 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.39
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,970 บาทราคาลดลงจากตันละ 15,130 ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 1.06
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9233 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodian Rice Federation; CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 910 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 920 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคาตันละ 770 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 780 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ข้าวขาว (White Rice Premium / Soft cooking) ชนิด 5% ราคาตันละ 580 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงขึ้นจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคาตันละ 570 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงขึ้นจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 565 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวขาวอินทรีย์ (Organic White Rice) ชนิด 5% ราคาตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ทรงตัวเท่ากับวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และข้าวนึ่งอินทรีย์ (Organic Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ทรงตัวเท่ากับวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาตันละ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวกล้องหอมอินทรีย์ (Organic Brown Jasmine-Premium quality) ราคาตันละ 1,370 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (the Cambodia Rice Federation; CRF) ระบุว่า ขณะนี้กัมพูชากำลังเผชิญกับภาวะภัยแล้งและน้ำท่วมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมข้าวของกัมพูชา
ทั้งนี้ กัมพูชาต้องเผชิญกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ โดยประมาณการว่าในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีผลผลิตข้าวเปลือกที่ได้รับผลกระทบจากจากภาวะภัยแล้งประมาณร้อยละ 30- 40 และมีบางส่วนที่ทำการเพาะปลูกใหม่ แต่มีเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ที่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยได้เพียง 480 กิโลกรัมต่อไร่ เท่านั้น จากปกติที่ควรจะได้ประมาณ 640 กิโลกรัมต่อไร่
และการได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งจนต้องกลับมาเพาะปลูกใหม่นี้ คาดว่าจะส่งผลให้การเก็บเกี่ยวข้าว
ต้องเลื่อนไปเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าปริมาณผลผลิตจะลดลง โดยเฉพาะข้าวหอมพันธุ์ Sen Kro Ob และข้าวขาวตระกูล IR นอกจากนี้ เกษตรกรกำลังกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกข้าว เพราะอาจจะทำให้มีการเก็บเกี่ยวล่าช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญในภาคตะวันตกของประเทศ เช่น Banteay Meanchey
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศรวม 448.203 ตัน โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของกัมพูชา (MoAFF) เปิดเผยข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563
ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 106.158 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกัมพูชาส่งออกข้าวไปยัง 59 ประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน สหภาพยุโรป 24 ประเทศ อาเซียน 6 ประเทศ และตลาดต่างประเทศอื่นๆ อีก 28 ประเทศ โดยความร่วมมือของบริษัทส่งออก 71 บริษัท ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2562 ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.43 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 ประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 และตลาดต่างประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.44 โดยในเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียวกัมพูชาส่งออกข้าวรวม 22.130 ตัน ไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 34.97
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, mekongoryza.com
เมียนมา
มีรายงานว่าบริษัท POSCO International Corp. จากประเทศเกาหลีใต้ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับสำนักงานพัฒนาชนบทของเมียนมา (Rural Development Administration; RDA) เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมข้าวของเมียนมา
ซึ่งตามข้อตกลงทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกันที่จะพัฒนาความสัมพันธ์แบบร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย RDA คาดว่าจะมีการแบ่งปันด้านทักษะทางเทคโนโลยีการผลิตข้าวให้แก่ภาคการผลิตข้าวของเมียนมา
และ POSCO จะช่วยในการแปรรูปและจัดจำหน่ายข้าวในท้องถิ่น
นอกจากนี้ POSCO และ RDA จะร่วมกันฝึกอบรมเกษตรกรในท้องถิ่นเกี่ยวกับเทคนิคการเพาะปลูกข้าว รวมถึงการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะประเมินผลหลังการเพาะปลูกข้าวเพื่อช่วยเกษตรกรเมียนมาในการปรับปรุงคุณภาพข้าว และตามข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจ POSCO มีเป้าหมายที่จะขยายฐานการตลาดในจีน แอฟริกาและยุโรป โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพที่แปรรูปในเมียนมา
ทั้งนี้ POSCO ดำเนินธุรกิจแปรรูปและส่งออกข้าวในเมียนมา เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา โดยบริษัท POSCO International ได้เข้าซื้อโรงงานแปรรูปข้าว (Rice Processing Complex; RPC) ที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันต่อปี
ในเมียนมา และเมื่อปีที่แล้วบริษัทได้สร้างโรงงานใหม่ที่มีกำลังการผลิตข้าวได้ถึง 86,000 ตันต่อปีเพื่อทำการส่งออกข้าว
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
ศูนย์การค้าธัญพืชแห่งชาติ (China’s National Grain Trade Center; NGTC) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางการสามารถขายข้าวได้ประมาณ 2.24 ล้านตัน จากที่นำข้าวเปลือกเก่าในคลังรัฐบาลออกประมูล
8 ครั้ง จำนวนรวมประมาณ 14.9 ล้านตัน
สำนักข่าว Xinhua รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน (Ministry of Agriculture and Rural Affairs) กำลังดำเนินการประเมินผลผลิตธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2563 โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกธัญพืชจะสูงถึง 535 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นประมาณ 2.08 ล้านไร่จากปีที่แล้ว
โดยตั้งข้อสังเกตว่าการเพาะปลูกข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพดในฤดูใบไม้ร่วงกำลังเติบโตได้ดี ซึ่งที่มณฑล Heilongjiang, Jilin, Shandong และ Henan มีการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ รัฐบาลยืนยันว่าผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อการผลิตธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วงในวงจำกัด และ
การควบคุมศัตรูพืชก็ทำได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ ผลผลิตธัญพืชทั้งหมดของจีนประกอบด้วยข้าวต้นฤดู (early rice) ธัญพืชฤดูร้อน (summer grain)
และธัญพืชฤดูใบไม้ร่วง (Autumn grain) ซึ่งธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วงรวมถึงข้าวโพด ข้าวช่วงกลาง และข้าวช่วงปลายฤดูด้วย (middle-season and late-season rice)
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,181 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,390 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.45
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,502 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,372 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.39
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,970 บาทราคาลดลงจากตันละ 15,130 ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 1.06
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9233 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodian Rice Federation; CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 910 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 920 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคาตันละ 770 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 780 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ข้าวขาว (White Rice Premium / Soft cooking) ชนิด 5% ราคาตันละ 580 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงขึ้นจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคาตันละ 570 ดอลลาร์สหรัฐฯ (สูงขึ้นจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 565 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวขาวอินทรีย์ (Organic White Rice) ชนิด 5% ราคาตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ทรงตัวเท่ากับวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และข้าวนึ่งอินทรีย์ (Organic Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ทรงตัวเท่ากับวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาตันละ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ และข้าวกล้องหอมอินทรีย์ (Organic Brown Jasmine-Premium quality) ราคาตันละ 1,370 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (the Cambodia Rice Federation; CRF) ระบุว่า ขณะนี้กัมพูชากำลังเผชิญกับภาวะภัยแล้งและน้ำท่วมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมข้าวของกัมพูชา
ทั้งนี้ กัมพูชาต้องเผชิญกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ โดยประมาณการว่าในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีผลผลิตข้าวเปลือกที่ได้รับผลกระทบจากจากภาวะภัยแล้งประมาณร้อยละ 30- 40 และมีบางส่วนที่ทำการเพาะปลูกใหม่ แต่มีเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ที่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยได้เพียง 480 กิโลกรัมต่อไร่ เท่านั้น จากปกติที่ควรจะได้ประมาณ 640 กิโลกรัมต่อไร่
และการได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งจนต้องกลับมาเพาะปลูกใหม่นี้ คาดว่าจะส่งผลให้การเก็บเกี่ยวข้าว
ต้องเลื่อนไปเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าปริมาณผลผลิตจะลดลง โดยเฉพาะข้าวหอมพันธุ์ Sen Kro Ob และข้าวขาวตระกูล IR นอกจากนี้ เกษตรกรกำลังกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกข้าว เพราะอาจจะทำให้มีการเก็บเกี่ยวล่าช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญในภาคตะวันตกของประเทศ เช่น Banteay Meanchey
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศรวม 448.203 ตัน โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของกัมพูชา (MoAFF) เปิดเผยข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563
ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 106.158 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกัมพูชาส่งออกข้าวไปยัง 59 ประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน สหภาพยุโรป 24 ประเทศ อาเซียน 6 ประเทศ และตลาดต่างประเทศอื่นๆ อีก 28 ประเทศ โดยความร่วมมือของบริษัทส่งออก 71 บริษัท ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2562 ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.43 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 ประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 และตลาดต่างประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.44 โดยในเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียวกัมพูชาส่งออกข้าวรวม 22.130 ตัน ไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 34.97
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, mekongoryza.com
เมียนมา
มีรายงานว่าบริษัท POSCO International Corp. จากประเทศเกาหลีใต้ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับสำนักงานพัฒนาชนบทของเมียนมา (Rural Development Administration; RDA) เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมข้าวของเมียนมา
ซึ่งตามข้อตกลงทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกันที่จะพัฒนาความสัมพันธ์แบบร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย RDA คาดว่าจะมีการแบ่งปันด้านทักษะทางเทคโนโลยีการผลิตข้าวให้แก่ภาคการผลิตข้าวของเมียนมา
และ POSCO จะช่วยในการแปรรูปและจัดจำหน่ายข้าวในท้องถิ่น
นอกจากนี้ POSCO และ RDA จะร่วมกันฝึกอบรมเกษตรกรในท้องถิ่นเกี่ยวกับเทคนิคการเพาะปลูกข้าว รวมถึงการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะประเมินผลหลังการเพาะปลูกข้าวเพื่อช่วยเกษตรกรเมียนมาในการปรับปรุงคุณภาพข้าว และตามข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจ POSCO มีเป้าหมายที่จะขยายฐานการตลาดในจีน แอฟริกาและยุโรป โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพที่แปรรูปในเมียนมา
ทั้งนี้ POSCO ดำเนินธุรกิจแปรรูปและส่งออกข้าวในเมียนมา เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา โดยบริษัท POSCO International ได้เข้าซื้อโรงงานแปรรูปข้าว (Rice Processing Complex; RPC) ที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันต่อปี
ในเมียนมา และเมื่อปีที่แล้วบริษัทได้สร้างโรงงานใหม่ที่มีกำลังการผลิตข้าวได้ถึง 86,000 ตันต่อปีเพื่อทำการส่งออกข้าว
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
ศูนย์การค้าธัญพืชแห่งชาติ (China’s National Grain Trade Center; NGTC) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางการสามารถขายข้าวได้ประมาณ 2.24 ล้านตัน จากที่นำข้าวเปลือกเก่าในคลังรัฐบาลออกประมูล
8 ครั้ง จำนวนรวมประมาณ 14.9 ล้านตัน
สำนักข่าว Xinhua รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน (Ministry of Agriculture and Rural Affairs) กำลังดำเนินการประเมินผลผลิตธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2563 โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกธัญพืชจะสูงถึง 535 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นประมาณ 2.08 ล้านไร่จากปีที่แล้ว
โดยตั้งข้อสังเกตว่าการเพาะปลูกข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพดในฤดูใบไม้ร่วงกำลังเติบโตได้ดี ซึ่งที่มณฑล Heilongjiang, Jilin, Shandong และ Henan มีการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ รัฐบาลยืนยันว่าผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อการผลิตธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วงในวงจำกัด และ
การควบคุมศัตรูพืชก็ทำได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ ผลผลิตธัญพืชทั้งหมดของจีนประกอบด้วยข้าวต้นฤดู (early rice) ธัญพืชฤดูร้อน (summer grain)
และธัญพืชฤดูใบไม้ร่วง (Autumn grain) ซึ่งธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วงรวมถึงข้าวโพด ข้าวช่วงกลาง และข้าวช่วงปลายฤดูด้วย (middle-season and late-season rice)
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.38 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.35 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.41 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.93 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.23 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.43 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.12 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.40 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.73 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.78
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 309.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,567 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 311.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,704 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.64 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 137 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 352.92 เซนต์ (4,356 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 336.76 เซนต์ (4,189 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.80 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 167 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.70 ล้านไร่ ผลผลิต 27.347 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.14 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 11.98 และร้อยละ 12.45 ตามลำดับ โดยเดือนสิงหาคม 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.50 ล้านตัน (ร้อยละ 1.76 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นและโรงเรียนแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.76 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.75 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.57
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.56 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.08 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 8.55
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.99 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.43
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้ไม่มีรายงาน
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงาน
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนสิงหาคมจะมีประมาณ 1.367 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.246 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.502 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.270 ล้านตัน ของเดือนกรกฎาคม คิดเป็นร้อยละ 8.99 และร้อยละ 8.89 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.45 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 3.39 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.77
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 19.95 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 19.23 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.74
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
วันที่ 2 ก.ย. 63 ราคาซื้อขายน้ำมันปาล์มมาเลเซียลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันถั่วเหลืองลดลงและการส่งออกไปอินเดียและยุโรปของมาเลเซียในเดือนสิงหาคมลดลง 13-14 เปอร์เซ็นต์ จากเดือนกรกฎาคม ราคาอ้างอิง เดือนพฤศจิกายน ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย ลดลง 0.47 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 2,771 ริงกิตต่อตัน ปี 2563 อินโดนีเซียผลิตน้ำมันปาล์ม 46.02 ล้านตัน ลดลงจาก 47.11 ล้านตันในปี 2562
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,897.68 ดอลลาร์มาเลเซีย (22.05 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,764.43 ดอลลาร์มาเลเซีย (21.11 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.82
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 706.88 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22.23 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 686.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.69 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.97
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 957.68 เซนต์ (11.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 914.08 เซนต์ (10.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.77
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 304.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.54 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 291.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.38
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.24 เซนต์ (22.97 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 32.12 เซนต์ (22.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.49
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 957.68 เซนต์ (11.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 914.08 เซนต์ (10.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.77
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 304.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.54 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 291.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.38
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.24 เซนต์ (22.97 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 32.12 เซนต์ (22.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.49
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.50 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 24.75 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.01
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,068.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.26 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,059.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.25 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 931.80 ดอลลาร์สหรัฐ (29.00 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 930.20 ดอลลาร์สหรัฐ (28.99 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,068.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.26 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,059.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.25 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 579.60 ดอลลาร์สหรัฐ (18.04 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 575.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.92 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.80 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.12 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,251.00 ดอลลาร์สหรัฐ (38.93 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,246.60 ดอลลาร์สหรัฐ (38.85 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.08 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.83 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.14 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 27.50 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.33
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 64.24 เซนต์(กิโลกรัมละ 44.40 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 64.72 เซนต์ (กิโลกรัมละ 45.08 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.68 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,816 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,766 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.83
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,465 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,419 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.24
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 883 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้สถานการณ์ตลาดสุกร ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงความต้องการบริโภคเนื้อสุกรยังคงมีอย่างต่อเนื่องเพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันสารทจีน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 78.29 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 78.10 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.24 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.77 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.57 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 80.82 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 79.20 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภคที่มีในช่วงเทศกาลสารทจีน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.85 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.82บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.09 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 34.07 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.66 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 7.50 บาท ลดลงจากตัวละ 8.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 11.76
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษาเปิดภาคเรียนเต็มรูปแบบ ทำให้ภาวะตลาดไข่ไก่ค่อนข้างคึกคัก ส่งผลให้ความต้องการบริโภคมีมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อยราคา
ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 293 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 289 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.38 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 300 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 278 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 297 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 325 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 346 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 344 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.56 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 361 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 357 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 323 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 355 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 95.46 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 94.69 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.81 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.62 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 98.19 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 90.36 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 75.07 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 75.81 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.98 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.08 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 3 กันยายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.10 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 83.70 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.20 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.75 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.25 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.69 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 73.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.43 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.28 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 3 กันยายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.10 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 83.70 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.20 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 133.75 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.25 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.69 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 73.12 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.43 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.28 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา