- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 6-12 มีนาคม 2563
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,013 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,986 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.19
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,545 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,369 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.10
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,650 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,990 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.08
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,035 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,349 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,057 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,995 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.08 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 646 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 491 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,346 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 471 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,702 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.24 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 644 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 476 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,877 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 459 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,328 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.70 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 549 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 488 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,252 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 468 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,609 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 643 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.2546
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับสูงขึ้น โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 390-400 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากตันละ 365-375 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เนื่องจากคาดว่าความต้องการข้าวจากฟิลิปปินส์และมาเลเซียจะเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งคาดว่าคิวบา และประเทศในแถบแอฟริกา จะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากเวียดนามด้วยเช่นกัน ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดค่อนข้างตึงตัว เพราะผลผลิตข้าว
ฤดูใหม่เพิ่งมีการเก็บเกี่ยวไปประมาณร้อยละ 60-70
กระทรวงเกษตร (the Ministry of Agriculture and Rural Development; MARD) รายงานว่า การส่งออกข้าวในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ มีประมาณ 890,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยข้าวขาว 5% ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ตันละประมาณ 380 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับตันละ 345 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากฟิลิปปินส์มีความต้องการข้าวมากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรก ตลาดนำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามคือ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มาเลเซียซื้อข้าวจากเวียดนามแล้วประมาณ 90,000 ตัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าตลาดสำคัญในปีนี้ ได้แก่ เกาหลีใต้ ซึ่งจัดสรรโควตานำเข้าจากเวียดนาม จำนวน 55,112 ตัน ขณะที่อินโดนีเซีย คาดว่าจะนำเข้าข้าวมากถึง 1 ล้านตัน เนื่องจากในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการนำเข้าข้าวจากทุกประเทศไม่มากนัก
นาย Le Thanh Tung รองหัวหน้ากรมเพาะปลูกพืชในสังกัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (MARD) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าเวียดนามจะบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าวที่ 6.7 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการทั่วโลกสูง และผลผลิตข้าวมีเพียงพอสำหรับอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าทั่วโลก ทำให้มีความต้องการสำรองข้าวในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดส่งออกข้าวเดิมของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์
และอินโดนีเซีย คาดว่าจะนำเข้าข้าวปริมาณมากจากเวียดนาม ดังนั้น เวียดนามจึงมีโอกาสในการกระตุ้นการส่งออกข้าว
สำหรับผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ใบไม้ผลิ คาดว่าจะมีผลผลิตเพียงพอสำหรับการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ใบไม้ผลิ ของปี 2562/63 เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 175,000 ไร่
ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และปัญหาดินเค็มที่รุนแรง ซึ่งคิดเป็นส่วนเล็กๆ จากจำนวนพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 10.31 ล้านไร่ ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ดังนั้น เวียดนามจะมีข้าวเพียงพอ
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งเวียดนามได้ขอให้ธนาคารต่างๆ เพิ่มการปล่อยสินเชื่อเพื่อการผลิตและบริโภคข้าว
ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งธนาคารต่างๆ มีการปล่อยสินเชื่อในระยะเวลา 3-6 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยรายปี
ที่ร้อยละ 6 เพื่อให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรในอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นในตลาดโลก เนื่องจากมีหลายธุรกิจที่สร้างห่วงโซ่คุณค่าสำหรับข้าว แม้ว่าข้าวในประเทศยังมีคุณภาพต่ำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเพื่อให้บรรลุการเติบโตของการส่งออกอย่างยั่งยืน อุตสาหกรรมการผลิตข้าวจะต้องพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าต่อไป
ทางด้านนาย Pham Thai Binh ผู้อำนวยการทั่วไป บริษัท Trung An High-tech Agriculture Joint Stock Company กล่าวว่า หากมีการลงทุนในห่วงโซ่คุณค่า โดยเกษตรกรทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ จะทำให้การผลิตและการบริโภคมีความมั่นคง
จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ สินค้าเกษตรที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ปลาสวาย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยางพารา และผักผลไม้ มีมูลค่าการส่งออกลดลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกัน
การส่งออกข้าวมีปริมาณการส่งออกถึง 890,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 จากปีที่แล้ว และมีมูลค่าการส่งออก 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.6 จากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ความต้องการข้าวที่เพิ่มขึ้นในหลายตลาด ทำให้การส่งออกข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรก ราคาข้าวที่ซื้อหน้าคลังสินค้ามีมูลค่า 5,400-6,400 ด่องต่อกิโลกรัม ซึ่งแพงกว่าราคาที่ไร่นาประมาณ 1,000 ด่องต่อกิโลกรัม ขณะที่ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ราคาส่งออกข้าวขาว 5% มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 380 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561
สำนักงานการค้าเวียดนามในประเทศแอลจีเรีย (The Vietnam Trade Office in Algeria) รายงานว่า ในปี 2563 เวียดนามตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวไปยังเซเนกัล และประทศในแถบแอฟริกาเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับเวียดนาม โดยมองว่าในช่วงนี้หลายประเทศมีการนำเข้าข้าวเพื่อเก็บสต็อกไว้มากขึ้น เพราะเกรงว่าการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 อาจจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าในตลาด ทั้งนี้ ในปี 2562 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังเซเนกัลประมาณ 96,665 ตัน มูลค่าประมาณ 32.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปริมาณและมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,213 และร้อยละ 920 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
คณะทำงานของรัฐบาลได้ออกมากระตุ้นเตือนผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนว่า ประเทศจีนจะต้องไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผลผลิตธัญพืชลดลงในปีนี้ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่
ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ คณะทำงานกลางของรัฐบาลได้สั่งการให้จังหวัดกระตุ้น เตือนเกษตรกรและรับประกันว่าพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตธัญพืช จะยังคงมีเสถียรภาพ
มาตรการที่ให้ประชาชนอาศัยอยู่ในบ้านและไม่ให้ออกนอกบ้านเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้เกิดความกังวลว่าเกษตรกรจะไม่สามารถทำการไถหว่านพืชต่างๆ ได้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังได้แนะนำว่า
ในพื้นที่ที่ปัญหาการระบาดลดลง และไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ควรจะทำการเพาะปลูกมากกว่าปกติเป็น 2 เท่า และควรขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวต้นฤดูให้มากขึ้นด้วย
เมื่อสัปดาห์ก่อน สำนักงานอาหารและปัจจัยสำรองแห่งชาติ (The National Food and Strategic Reserves Administration) ระบุว่า ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าจัดหาข้าวไว้ที่ 50 ล้านตัน ประกอบด้วย ข้าวเมล็ดสั้น (พันธุ์ japonica)
จำนวน 30 ล้านตัน และข้าวเมล็ดยาว (indica) จำนวน 20 ล้านตัน โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำ (The floor price) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยข้าวเมล็ดยาวต้นฤดู (early-season long grain rice) กำหนดไว้ที่ 2,420 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 346 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,400 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 343 เหรียญสหรัฐ ในปี 2562 ที่ผ่านมา ส่วนข้าวเมล็ดยาวปลายฤดู (late-season long grain rice) กำหนดไว้ที่ 2,540 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 363 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,520 หยวนต่อ ตัน หรือตันละประมาณ 360 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้าวเมล็ดสั้นรัฐบาลคงราคาไว้ที่ 2,600 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 372 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับในปี 2562 ที่ผ่านมา
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2020 ทีมนักวิจัย นำโดย นายหยวน หลงผิง นักปฐพีวิทยา
ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวลูกผสมสายพันธุ์แรก เปิดตัวโครงการอันมุ่งมั่นเพื่อเพาะปลูกข้าวในพื้นที่
ดินเค็มด่าง บนเนื้อที่ 10,000 หมู่ (ประมาณ 41,000 ไร่) ในมณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน โดยคนงานของโครงการดังกล่าว เริ่มปรับผิวดินเค็มด่างในเมืองชิงเต่า เมืองติดทะเลของซานตงแล้ว 330 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,000 ไร่) และจะเริ่มนำต้นกล้ามาปลูกในเดือนพฤษภาคมนี้
นาย จางกั๋วต้ง รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาข้าวทนเค็มด่างของชิงเต่า ระบุว่าพวกเขาจะปลูกข้าวทนดินเค็มด่างอีก 330 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,000 ไร่) ในเมืองตงอิ๋ง และเหวยฟาง ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลของซานตงเช่นกัน ซึ่งในครั้งนี้นายหยวนไม่ได้เดินทางมายังสถานที่ดำเนินโครงการ สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แต่ส่งจดหมายแสดงการสนับสนุนมาแทน
ทีมวิจัยและเพาะปลูกดังกล่าว จะนำข้าวเชาโยว 1000 (Chaoyou 1000) ซึ่งเป็นข้าวลูกผสมขั้นสูงที่มีแนวโน้มผลผลิตดีมาปลูกในดินเค็มด่าง โดยหยวนระบุในจดหมายว่าเมื่อปี 2562 ทีมวิจัยได้ปลูกข้าวชนิดนี้ที่เมืองตงอิ๋งแล้ว 500 หมู่ (ประมาณ 200 ไร่) และได้ผลผลิตถึง 600 กิโลกรัมต่อหมู่
โดยก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยของทีมนายหยวนได้ทดสอบปลูกข้าวในดินเค็มด่างเมื่อปี 2562 ในฐานทดลอง 6 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ มณฑลเฮยหลงเจียง มณฑลซานตง และมณฑลเจ้อเจียง พร้อมกับประสบความสำเร็จ ในการปลูกข้าวทนดินเค็มด่าง ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย โดยพื้นที่ทดลองดังกล่าว มีเนื้อที่รวม 20,000 หมู่ (ประมาณ 8,300 ไร่) และให้ผลผลิตมากกว่า 500 กิโลกรัมต่อหมู่
ทั้งนี้ จีนมีพื้นที่ดินเค็มด่างอยู่ประมาณ 100 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 625 ล้านไร่) โดยประมาณ 1 ใน 5 ของทั้งหมด สามารถปรับปรุงให้เป็นดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกได้
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,013 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,986 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.19
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,545 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,369 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.10
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,650 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,990 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.08
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,035 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,349 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,057 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,995 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.08 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 646 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 491 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,346 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 471 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,702 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.24 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 644 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 476 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,877 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 459 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,328 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.70 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 549 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 488 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,252 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 468 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,609 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 643 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.2546
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับสูงขึ้น โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 390-400 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากตันละ 365-375 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เนื่องจากคาดว่าความต้องการข้าวจากฟิลิปปินส์และมาเลเซียจะเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งคาดว่าคิวบา และประเทศในแถบแอฟริกา จะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากเวียดนามด้วยเช่นกัน ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดค่อนข้างตึงตัว เพราะผลผลิตข้าว
ฤดูใหม่เพิ่งมีการเก็บเกี่ยวไปประมาณร้อยละ 60-70
กระทรวงเกษตร (the Ministry of Agriculture and Rural Development; MARD) รายงานว่า การส่งออกข้าวในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ มีประมาณ 890,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยข้าวขาว 5% ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ตันละประมาณ 380 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับตันละ 345 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากฟิลิปปินส์มีความต้องการข้าวมากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรก ตลาดนำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามคือ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มาเลเซียซื้อข้าวจากเวียดนามแล้วประมาณ 90,000 ตัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าตลาดสำคัญในปีนี้ ได้แก่ เกาหลีใต้ ซึ่งจัดสรรโควตานำเข้าจากเวียดนาม จำนวน 55,112 ตัน ขณะที่อินโดนีเซีย คาดว่าจะนำเข้าข้าวมากถึง 1 ล้านตัน เนื่องจากในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการนำเข้าข้าวจากทุกประเทศไม่มากนัก
นาย Le Thanh Tung รองหัวหน้ากรมเพาะปลูกพืชในสังกัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (MARD) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าเวียดนามจะบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าวที่ 6.7 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการทั่วโลกสูง และผลผลิตข้าวมีเพียงพอสำหรับอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าทั่วโลก ทำให้มีความต้องการสำรองข้าวในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดส่งออกข้าวเดิมของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์
และอินโดนีเซีย คาดว่าจะนำเข้าข้าวปริมาณมากจากเวียดนาม ดังนั้น เวียดนามจึงมีโอกาสในการกระตุ้นการส่งออกข้าว
สำหรับผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ใบไม้ผลิ คาดว่าจะมีผลผลิตเพียงพอสำหรับการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ใบไม้ผลิ ของปี 2562/63 เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 175,000 ไร่
ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และปัญหาดินเค็มที่รุนแรง ซึ่งคิดเป็นส่วนเล็กๆ จากจำนวนพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 10.31 ล้านไร่ ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ดังนั้น เวียดนามจะมีข้าวเพียงพอ
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งเวียดนามได้ขอให้ธนาคารต่างๆ เพิ่มการปล่อยสินเชื่อเพื่อการผลิตและบริโภคข้าว
ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งธนาคารต่างๆ มีการปล่อยสินเชื่อในระยะเวลา 3-6 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยรายปี
ที่ร้อยละ 6 เพื่อให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรในอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นในตลาดโลก เนื่องจากมีหลายธุรกิจที่สร้างห่วงโซ่คุณค่าสำหรับข้าว แม้ว่าข้าวในประเทศยังมีคุณภาพต่ำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเพื่อให้บรรลุการเติบโตของการส่งออกอย่างยั่งยืน อุตสาหกรรมการผลิตข้าวจะต้องพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าต่อไป
ทางด้านนาย Pham Thai Binh ผู้อำนวยการทั่วไป บริษัท Trung An High-tech Agriculture Joint Stock Company กล่าวว่า หากมีการลงทุนในห่วงโซ่คุณค่า โดยเกษตรกรทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ จะทำให้การผลิตและการบริโภคมีความมั่นคง
จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ สินค้าเกษตรที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ปลาสวาย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยางพารา และผักผลไม้ มีมูลค่าการส่งออกลดลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกัน
การส่งออกข้าวมีปริมาณการส่งออกถึง 890,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 จากปีที่แล้ว และมีมูลค่าการส่งออก 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.6 จากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ความต้องการข้าวที่เพิ่มขึ้นในหลายตลาด ทำให้การส่งออกข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรก ราคาข้าวที่ซื้อหน้าคลังสินค้ามีมูลค่า 5,400-6,400 ด่องต่อกิโลกรัม ซึ่งแพงกว่าราคาที่ไร่นาประมาณ 1,000 ด่องต่อกิโลกรัม ขณะที่ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ราคาส่งออกข้าวขาว 5% มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 380 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561
สำนักงานการค้าเวียดนามในประเทศแอลจีเรีย (The Vietnam Trade Office in Algeria) รายงานว่า ในปี 2563 เวียดนามตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวไปยังเซเนกัล และประทศในแถบแอฟริกาเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับเวียดนาม โดยมองว่าในช่วงนี้หลายประเทศมีการนำเข้าข้าวเพื่อเก็บสต็อกไว้มากขึ้น เพราะเกรงว่าการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 อาจจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าในตลาด ทั้งนี้ ในปี 2562 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังเซเนกัลประมาณ 96,665 ตัน มูลค่าประมาณ 32.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปริมาณและมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,213 และร้อยละ 920 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
จีน
คณะทำงานของรัฐบาลได้ออกมากระตุ้นเตือนผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนว่า ประเทศจีนจะต้องไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผลผลิตธัญพืชลดลงในปีนี้ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่
ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ คณะทำงานกลางของรัฐบาลได้สั่งการให้จังหวัดกระตุ้น เตือนเกษตรกรและรับประกันว่าพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตธัญพืช จะยังคงมีเสถียรภาพ
มาตรการที่ให้ประชาชนอาศัยอยู่ในบ้านและไม่ให้ออกนอกบ้านเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้เกิดความกังวลว่าเกษตรกรจะไม่สามารถทำการไถหว่านพืชต่างๆ ได้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังได้แนะนำว่า
ในพื้นที่ที่ปัญหาการระบาดลดลง และไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ควรจะทำการเพาะปลูกมากกว่าปกติเป็น 2 เท่า และควรขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวต้นฤดูให้มากขึ้นด้วย
เมื่อสัปดาห์ก่อน สำนักงานอาหารและปัจจัยสำรองแห่งชาติ (The National Food and Strategic Reserves Administration) ระบุว่า ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าจัดหาข้าวไว้ที่ 50 ล้านตัน ประกอบด้วย ข้าวเมล็ดสั้น (พันธุ์ japonica)
จำนวน 30 ล้านตัน และข้าวเมล็ดยาว (indica) จำนวน 20 ล้านตัน โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำ (The floor price) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยข้าวเมล็ดยาวต้นฤดู (early-season long grain rice) กำหนดไว้ที่ 2,420 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 346 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,400 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 343 เหรียญสหรัฐ ในปี 2562 ที่ผ่านมา ส่วนข้าวเมล็ดยาวปลายฤดู (late-season long grain rice) กำหนดไว้ที่ 2,540 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 363 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,520 หยวนต่อ ตัน หรือตันละประมาณ 360 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2562 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้าวเมล็ดสั้นรัฐบาลคงราคาไว้ที่ 2,600 หยวนต่อตัน หรือตันละประมาณ 372 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับในปี 2562 ที่ผ่านมา
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2020 ทีมนักวิจัย นำโดย นายหยวน หลงผิง นักปฐพีวิทยา
ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวลูกผสมสายพันธุ์แรก เปิดตัวโครงการอันมุ่งมั่นเพื่อเพาะปลูกข้าวในพื้นที่
ดินเค็มด่าง บนเนื้อที่ 10,000 หมู่ (ประมาณ 41,000 ไร่) ในมณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน โดยคนงานของโครงการดังกล่าว เริ่มปรับผิวดินเค็มด่างในเมืองชิงเต่า เมืองติดทะเลของซานตงแล้ว 330 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,000 ไร่) และจะเริ่มนำต้นกล้ามาปลูกในเดือนพฤษภาคมนี้
นาย จางกั๋วต้ง รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาข้าวทนเค็มด่างของชิงเต่า ระบุว่าพวกเขาจะปลูกข้าวทนดินเค็มด่างอีก 330 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,000 ไร่) ในเมืองตงอิ๋ง และเหวยฟาง ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลของซานตงเช่นกัน ซึ่งในครั้งนี้นายหยวนไม่ได้เดินทางมายังสถานที่ดำเนินโครงการ สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แต่ส่งจดหมายแสดงการสนับสนุนมาแทน
ทีมวิจัยและเพาะปลูกดังกล่าว จะนำข้าวเชาโยว 1000 (Chaoyou 1000) ซึ่งเป็นข้าวลูกผสมขั้นสูงที่มีแนวโน้มผลผลิตดีมาปลูกในดินเค็มด่าง โดยหยวนระบุในจดหมายว่าเมื่อปี 2562 ทีมวิจัยได้ปลูกข้าวชนิดนี้ที่เมืองตงอิ๋งแล้ว 500 หมู่ (ประมาณ 200 ไร่) และได้ผลผลิตถึง 600 กิโลกรัมต่อหมู่
โดยก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยของทีมนายหยวนได้ทดสอบปลูกข้าวในดินเค็มด่างเมื่อปี 2562 ในฐานทดลอง 6 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ มณฑลเฮยหลงเจียง มณฑลซานตง และมณฑลเจ้อเจียง พร้อมกับประสบความสำเร็จ ในการปลูกข้าวทนดินเค็มด่าง ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย โดยพื้นที่ทดลองดังกล่าว มีเนื้อที่รวม 20,000 หมู่ (ประมาณ 8,300 ไร่) และให้ผลผลิตมากกว่า 500 กิโลกรัมต่อหมู่
ทั้งนี้ จีนมีพื้นที่ดินเค็มด่างอยู่ประมาณ 100 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 625 ล้านไร่) โดยประมาณ 1 ใน 5 ของทั้งหมด สามารถปรับปรุงให้เป็นดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกได้
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.38 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.39 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.04 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.05 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.44 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.39 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.60 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 273.60 ดอลลาร์สหรัฐ (8,551 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากตันละ 272.60 ดอลลาร์สหรัฐ (8,509 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.37 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 42 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนพฤษภาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 373.20 เซนต์ (4,653 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 377.92 เซนต์ (4,706 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.25 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 53 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.75 ล้านไร่ ผลผลิต 31.104 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.56 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 และร้อยละ 0.08 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.84 โดยเดือนมีนาคม2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 6.04 ล้านตัน (ร้อยละ 19.42 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.63 ล้านตัน (ร้อยละ 56.68 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
มันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้เปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งต่ำ และหัวมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังค่อนข้างทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.92 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.91 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.52
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.98 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.02 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.80
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.97 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.69 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 12.71 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.16
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,282 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (7,273 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,596 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,579 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมีนาคมจะมีประมาณ 1.666 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.300 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.371 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.247 ล้านตัน ของเดือนกุมภาพันธ์ คิดเป็นร้อยละ 21.52 และร้อยละ 21.46 ตามลำดั
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.29 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.55 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 16.26
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.25 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 32.85 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.22
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ต่างประเทศ
ราคาปาล์มน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้ามาเลเซียลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 12 มี.ค. 2563 หลังจาก WTO ออกมาประกาศการระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งจะกระทบถึงภาคการบริโภค โดยอาทิตย์นี้ราคาลดลงมากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ ผลมาจากราคาน้ำมันดิบลดลงและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่มากเกินกว่าผลกระทบจากสต็อกน้ำมันปาล์มที่ลดลงและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากเดือนเราะมะฎอนของชาวมุสลิม
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,320.15 ดอลลาร์มาเลเซีย (17.57 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,410.02 ดอลลาร์มาเลเซีย (18.34 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.73
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 631.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19.99 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 654.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20.70 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.55
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
รายงานการผลิตน้ำตาลทรายของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ
ศูนย์บริหารการผลิต สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้รายงานการเก็บเกี่ยวอ้อย และการผลิตน้ำตาลทรายประจำปีการผลิต 2562/63 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563 ว่ามีอ้อยเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานน้ำตาลไปแล้วจำนวน 74,592,815 ตัน แยกเป็นอ้อยสด 37,452,450 ตัน (ร้อยละ 50.21) และอ้อยไฟไหม้ 37,140,364 ตัน (ร้อยละ 49.79) ผลิตเป็นน้ำตาลได้ 8,234,319 ตัน แยกเป็นน้ำตาลทรายดิบ 6,270,196 ตัน และน้ำตาลทรายขาว 1,964,123 ตัน ค่าความหวานของอ้อยเฉลี่ย 12.67 ซี.ซี.เอส. ผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ยต่อตันอ้อย 110.39 กก.ต่อตันอ้อย
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
รายงานการผลิตน้ำตาลทรายของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ
ศูนย์บริหารการผลิต สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้รายงานการเก็บเกี่ยวอ้อย และการผลิตน้ำตาลทรายประจำปีการผลิต 2562/63 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563 ว่ามีอ้อยเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานน้ำตาลไปแล้วจำนวน 74,592,815 ตัน แยกเป็นอ้อยสด 37,452,450 ตัน (ร้อยละ 50.21) และอ้อยไฟไหม้ 37,140,364 ตัน (ร้อยละ 49.79) ผลิตเป็นน้ำตาลได้ 8,234,319 ตัน แยกเป็นน้ำตาลทรายดิบ 6,270,196 ตัน และน้ำตาลทรายขาว 1,964,123 ตัน ค่าความหวานของอ้อยเฉลี่ย 12.67 ซี.ซี.เอส. ผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ยต่อตันอ้อย 110.39 กก.ต่อตันอ้อย
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 15.80 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.82
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ปีการเพาะปลูก 2562/63 บราซิลจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก และคาดว่าบราซิลจะผลิตถั่วเหลืองได้ประมาณ 126 ล้านตัน ในปี 2562/63 ซึ่งเพิ่งขึ้นจากปีที่ผ่านมา 8% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก และจะส่งออกประมาณ 77 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3%
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 868.44 เซนต์ (10.11 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 890.90 เซนต์ (10.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.52
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 297.66 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.43 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 302.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.95 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.45
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 27.34 เซนต์ (19.08 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 28.85 เซนต์ (20.11 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.23
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 15.80 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.82
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ปีการเพาะปลูก 2562/63 บราซิลจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก และคาดว่าบราซิลจะผลิตถั่วเหลืองได้ประมาณ 126 ล้านตัน ในปี 2562/63 ซึ่งเพิ่งขึ้นจากปีที่ผ่านมา 8% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก และจะส่งออกประมาณ 77 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3%
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 868.44 เซนต์ (10.11 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 890.90 เซนต์ (10.35 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.52
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 297.66 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.43 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 302.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.95 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.45
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 27.34 เซนต์ (19.08 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 28.85 เซนต์ (20.11 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.23
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.62 บาท ลดลงราคากิโลกรัมละ 25.93 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.20
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 18.20 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.10
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท เพิ่มขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 44.60 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.90
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 992.00 ดอลลาร์สหรัฐ (31.00 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 993.40 ดอลลาร์สหรัฐ (31.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และลดลงในรูปเงินบาท กิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 895.20 ดอลลาร์สหรัฐ (27.98 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 896.40 ดอลลาร์สหรัฐ (27.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13 แต่ในรูปเงินบาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,024.20 ดอลลาร์สหรัฐ (32.01 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,025.40 ดอลลาร์สหรัฐ (32.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12 แต่ในรูปเงินบาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 605.40 ดอลลาร์สหรัฐ (18.92 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 612.60 ดอลลาร์สหรัฐ (19.12 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 และลดลงในรูปเงินบาท กิโลกรัมละ 0.20 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,468.60 ดอลลาร์สหรัฐ (45.90บาท/กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,458.00 ดอลลาร์สหรัฐ (45.51 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.73 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.39 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.15 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 28.78 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 1.29
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.15 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 28.78 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อย 1.29
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนพฤษภาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 61.33 เซนต์(กิโลกรัมละ 42.82 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 62.79 เซนต์ (กิโลกรัมละ 43.79 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.33 และลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.97 บาท
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,767 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,807 บาทจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.21
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,421 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 867 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,421 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 867 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ ผ่านมา เนื่องจากสถานศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.25 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.25 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.07 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 67.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.54 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 68.19 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 64.54 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท (บวกลบ 64 บาท) สูงขึ้นจากตัวละ 2,000 บาท (บวกลบ 64 บาท) ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.00
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.92
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคไก่เนื้อสอดคล้องกับผลผลิตในท้องตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 39.05 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลางกิโลกรัมละ 39.39 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษาเริ่มปิดภาคเรียน ทำให้ภาวะตลาดไข่ไก่ค่อนข้างเงียบเหงา ส่งผลให้ความต้องการบริโภคไข่ไก่เริ่มลดลง แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 273 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 279 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.15 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 301 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 272 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 266 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 281 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 334 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 333 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 355 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 344 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 312 บาท และภาคใต้ไม่มารายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 92.17 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 92.43 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.28 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 88.94 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 92.34 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.51 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.85 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.49 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.28 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ ผ่านมา เนื่องจากสถานศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรชะลอตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.25 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.25 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.07 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 67.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.54 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 68.19 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 64.54 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,100 บาท (บวกลบ 64 บาท) สูงขึ้นจากตัวละ 2,000 บาท (บวกลบ 64 บาท) ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.00
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.92
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคไก่เนื้อสอดคล้องกับผลผลิตในท้องตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 39.05 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลางกิโลกรัมละ 39.39 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษาเริ่มปิดภาคเรียน ทำให้ภาวะตลาดไข่ไก่ค่อนข้างเงียบเหงา ส่งผลให้ความต้องการบริโภคไข่ไก่เริ่มลดลง แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 273 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 279 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.15 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 301 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 272 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 266 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 281 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 334 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 333 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 355 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 344 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 312 บาท และภาคใต้ไม่มารายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 92.17 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 92.43 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.28 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 88.94 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 92.34 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.51 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.85 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.49 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.28 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 มีนาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 48.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 87.39 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 87.86 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.47 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.77 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 141.13 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.36 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.83 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 137.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.57 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 74.87 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.70 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.18 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 มีนาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 48.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 87.39 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 87.86 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.47 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.77 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 141.13 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.36 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.83 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 137.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.57 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 74.87 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.70 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.18 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา