- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 21-27 กุมภาพันธ์ 2563
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,089 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,008 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,213 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,191 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.27
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,800 บาท ราคาลดลงจากตันละ 31,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,875 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.41
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,041 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,752 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,062 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,866 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 114 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 455 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,315 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,019 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 296 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 444 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,969 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 229 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 450 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,158 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,895 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 263 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.4618
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2563
มีผลผลิต 496.216 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 499.182 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.59
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีปริมาณผลผลิต 496.216 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.59 การใช้ในประเทศ 493.126 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.18 การส่งออก/นำเข้า 45.327 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 3.59 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 178.090 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62
ร้อยละ 1.77
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย รัสเซีย
ไทย และอุรุกวัย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ คิวบา อียู กินี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อิหร่าน อิรัก และฟิลิปปินส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังคลาเทศ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย: พาณิชย์แก้ไขสัญญาซื้อข้าวจีทูจีกับจีน
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบให้กรมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน ในส่วนที่เหลือส่งมอบอีก 300,000 ตัน จากสัญญาทั้งหมด 1 ล้านตัน ในเรื่องของชนิดข้าวและปริมาณข้าวที่จะส่งมอบให้จีน โดยแก้ไขสัญญา
ให้ไทยสามารถส่งมอบข้าวชนิดอื่นให้กับจีนได้ จากเดิมที่กำหนดเฉพาะข้าวหอมมะลิและข้าวขาว ส่วนปริมาณการส่งมอบ แก้ไขให้ไทยสามารถส่งมอบเป็นล็อตเล็กๆ ปริมาณน้อย ไม่ต้องส่งมอบถึงล็อตละ 100,000 ตัน เหมือนที่ผ่านมา
สำหรับสัญญาดังกล่าว 2 ประเทศได้ลงนามร่วมกันมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา และได้มีการเจรจาซื้อขาย
ซึ่งไทยส่งมอบไปแล้ว 7 ล็อตๆ ละ 100,000 ตัน รวม 700,000 ตัน ยังเหลืออีก 300,000 ตัน แต่ปี 2562 ไทยส่งมอบไม่ได้เลย เพราะจีนไม่ซื้อจากไทย เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูง ขณะที่จีนมีสต็อกข้าวจำนวนมากกว่า 100 ล้านตัน
จึงยังไม่นำเข้าจากไทย
“การแก้ไขสัญญาก็เพื่อให้ไทยสามารถส่งมอบข้าวให้กับจีนได้อย่างต่อเนื่อง จากปีที่แล้วไทยส่งมอบข้าวตามสัญญานี้ไม่ได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้ ไทยได้เสนอที่จะส่งมอบข้าวชนิดอื่นให้กับจีนแทน เช่น ข้าวหอมปทุมธานี ซึ่งมีความนุ่มใกล้เคียงข้าวหอมมะลิ แต่ราคาถูกกว่า เพื่อเป็นทางเลือกให้จีนหันมาบริโภคข้าวชนิดใหม่ของไทยมากขึ้น และปริมาณ
ที่จะส่งมอบก็แก้ไขให้ส่งมอบได้น้อย เพียงล็อตละ 20,000-30,000 ตัน ซึ่งน่าจะทำให้จีนตัดสินใจเจรจาซื้อจากไทยง่ายขึ้น”
สำหรับการส่งออกข้าวจีทูจี ในปี 2563 กรมฯ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะส่งออกให้ได้เท่าไร เพราะตลาดข้าวจีทูจี
ที่ไทยเคยส่งออกนั้น ขณะนี้ยังไม่ประกาศนำเข้า เช่น อินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ หน่วยงานนำเข้าของรัฐบาลที่เคย ประกาศเปิดประมูลนำเข้า และกรมเคยเข้าร่วมประมูลขายให้นั้น ได้ปรับเปลี่ยนเป็นให้เอกชนนำเข้าได้อย่างเสรี อย่างไรก็ตาม กรมจะเดินหน้าหาตลาดข้าวอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2563 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวที่ 7.5 ล้านตัน ลดลงจากปี 2562 ที่ส่งออกได้ 7.58 ล้านตัน เพราะคาดว่าผลผลิตข้าวไทยปีนี้จะลดลงมาก จากปัญหาภัยแล้งรวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนาม อินเดีย ประกอบกับต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่งเช่นกัน ส่งผลให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งมาก และผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวจากคู่แข่งแทน อีกทั้งจีนซึ่งเดิมเคยเป็นผู้นำเข้า แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้ส่งออกและแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในบางประเทศ โดยเฉพาะแอฟริกา เพราะจีนมีสต็อกข้าวปีนี้มากถึงกว่า 120 ล้านตัน รวมถึงข้าวไทยไม่มีความหลากหลายมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายกลุ่ม จึงทำให้ตลาดข้าวบางชนิดกลายเป็นของคู่แข่งแทน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ผลผลิตข้าวโลก บัญชีสมดุลข้าวโลก เดือน กุมภาพันธุ์ 2563
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,089 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,008 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,213 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,191 บาท
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.27
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,800 บาท ราคาลดลงจากตันละ 31,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,875 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.41
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,041 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,752 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,062 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,866 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 114 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 455 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,315 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,019 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 296 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 444 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,969 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 229 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 450 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,158 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,895 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 263 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.4618
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2563
มีผลผลิต 496.216 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 499.182 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.59
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีปริมาณผลผลิต 496.216 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.59 การใช้ในประเทศ 493.126 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.18 การส่งออก/นำเข้า 45.327 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 3.59 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 178.090 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62
ร้อยละ 1.77
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย รัสเซีย
ไทย และอุรุกวัย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ คิวบา อียู กินี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อิหร่าน อิรัก และฟิลิปปินส์
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังคลาเทศ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย: พาณิชย์แก้ไขสัญญาซื้อข้าวจีทูจีกับจีน
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบให้กรมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน ในส่วนที่เหลือส่งมอบอีก 300,000 ตัน จากสัญญาทั้งหมด 1 ล้านตัน ในเรื่องของชนิดข้าวและปริมาณข้าวที่จะส่งมอบให้จีน โดยแก้ไขสัญญา
ให้ไทยสามารถส่งมอบข้าวชนิดอื่นให้กับจีนได้ จากเดิมที่กำหนดเฉพาะข้าวหอมมะลิและข้าวขาว ส่วนปริมาณการส่งมอบ แก้ไขให้ไทยสามารถส่งมอบเป็นล็อตเล็กๆ ปริมาณน้อย ไม่ต้องส่งมอบถึงล็อตละ 100,000 ตัน เหมือนที่ผ่านมา
สำหรับสัญญาดังกล่าว 2 ประเทศได้ลงนามร่วมกันมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา และได้มีการเจรจาซื้อขาย
ซึ่งไทยส่งมอบไปแล้ว 7 ล็อตๆ ละ 100,000 ตัน รวม 700,000 ตัน ยังเหลืออีก 300,000 ตัน แต่ปี 2562 ไทยส่งมอบไม่ได้เลย เพราะจีนไม่ซื้อจากไทย เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูง ขณะที่จีนมีสต็อกข้าวจำนวนมากกว่า 100 ล้านตัน
จึงยังไม่นำเข้าจากไทย
“การแก้ไขสัญญาก็เพื่อให้ไทยสามารถส่งมอบข้าวให้กับจีนได้อย่างต่อเนื่อง จากปีที่แล้วไทยส่งมอบข้าวตามสัญญานี้ไม่ได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้ ไทยได้เสนอที่จะส่งมอบข้าวชนิดอื่นให้กับจีนแทน เช่น ข้าวหอมปทุมธานี ซึ่งมีความนุ่มใกล้เคียงข้าวหอมมะลิ แต่ราคาถูกกว่า เพื่อเป็นทางเลือกให้จีนหันมาบริโภคข้าวชนิดใหม่ของไทยมากขึ้น และปริมาณ
ที่จะส่งมอบก็แก้ไขให้ส่งมอบได้น้อย เพียงล็อตละ 20,000-30,000 ตัน ซึ่งน่าจะทำให้จีนตัดสินใจเจรจาซื้อจากไทยง่ายขึ้น”
สำหรับการส่งออกข้าวจีทูจี ในปี 2563 กรมฯ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะส่งออกให้ได้เท่าไร เพราะตลาดข้าวจีทูจี
ที่ไทยเคยส่งออกนั้น ขณะนี้ยังไม่ประกาศนำเข้า เช่น อินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ หน่วยงานนำเข้าของรัฐบาลที่เคย ประกาศเปิดประมูลนำเข้า และกรมเคยเข้าร่วมประมูลขายให้นั้น ได้ปรับเปลี่ยนเป็นให้เอกชนนำเข้าได้อย่างเสรี อย่างไรก็ตาม กรมจะเดินหน้าหาตลาดข้าวอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2563 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวที่ 7.5 ล้านตัน ลดลงจากปี 2562 ที่ส่งออกได้ 7.58 ล้านตัน เพราะคาดว่าผลผลิตข้าวไทยปีนี้จะลดลงมาก จากปัญหาภัยแล้งรวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนาม อินเดีย ประกอบกับต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่งเช่นกัน ส่งผลให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งมาก และผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวจากคู่แข่งแทน อีกทั้งจีนซึ่งเดิมเคยเป็นผู้นำเข้า แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้ส่งออกและแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในบางประเทศ โดยเฉพาะแอฟริกา เพราะจีนมีสต็อกข้าวปีนี้มากถึงกว่า 120 ล้านตัน รวมถึงข้าวไทยไม่มีความหลากหลายมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายกลุ่ม จึงทำให้ตลาดข้าวบางชนิดกลายเป็นของคู่แข่งแทน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ผลผลิตข้าวโลก บัญชีสมดุลข้าวโลก เดือน กุมภาพันธุ์ 2563
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.39 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.38 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.06 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.99 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.17
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.47 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.10 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.09 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 272.40 ดอลลาร์สหรัฐ (8,570 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 276.40 ดอลลาร์สหรัฐ (8,554 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.45 แต่สูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 16 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนมีนาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 371.28 เซนต์ (4,662 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 379.85 เซนต์ (4,693 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.26 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 31 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.75 ล้านไร่ ผลผลิต 31.104 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.56 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 และร้อยละ 0.08 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.84 โดยเดือนกุมภาพันธ์2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 6.43 ล้านตัน (ร้อยละ 20.68 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.63 ล้านตัน (ร้อยละ 56.68 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
มันสำปะหลังออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้เปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งต่ำ และหัวมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังค่อนข้างทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.90 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.93 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.55
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4.93 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 4.80 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.71
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.98 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.97 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.17
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.63 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.61 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.16
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,331 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (7,211 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,686 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,462 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกุมภาพันธ์จะมีประมาณ 1.371 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.247 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.325 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.239 ล้านตัน ของเดือนมกราคม คิดเป็นร้อยละ 3.47 และร้อยละ 3.35 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.45 บาท ลดลงจาก กก.ละ 5.57 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.15
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 33.00 บาท ลดลงจาก กก.ละ 38.60 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 14.51
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดต่างประเทศ
อินโดนีเซียกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการขึ้นภาษีส่งออกปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมัน เพื่อรองรับกองทุนน้ำมันปาล์มที่ทำหน้าที่ชดเชยค่าส่วนต่างระหว่างราคาไบโอดีเซลกับราคาดีเซล โดยราคา B100 ปัจจุบันอยู่ที่ 9,539 รูเปียห์ต่อลิตร ดีเซล 6,674 รูเปียห์ต่อลิตร แต่ตั้งราคาไบโอดีเซลที่ 5,150 รูเปียห์ต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันภาษีส่งออกสูงสุดอยู่ที่ตันละ $50
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,587.19 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.76 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,686.67 ดอลลาร์มาเลเซีย (20.48 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.70
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 691.67 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22.06 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 724.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22.73 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.52
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.80 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 882.16 เซนต์ (10.34 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 893.9 เซนต์ (10.31 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 290.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.25 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 292.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.17 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.79
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 29.41 เซนต์ (20.68 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 30.38 เซนต์ (21.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.19
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15.80 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 882.16 เซนต์ (10.34 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 893.9 เซนต์ (10.31 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.31
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 290.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.25 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 292.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.17 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.79
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 29.41 เซนต์ (20.68 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 30.38 เซนต์ (21.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.19
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.95 บาท เพิ่มขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 25.83 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.46
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 19.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 984.20 ดอลลาร์สหรัฐ (30.96 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,000.60 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.64 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 888.60 ดอลลาร์สหรัฐ (27.96 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 904.40 ดอลลาร์สหรัฐ (27.99 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,016.40 ดอลลาร์สหรัฐ (31.98 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,032.80 ดอลลาร์สหรัฐ (31.96 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.59 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 632.80 ดอลลาร์สหรัฐ (19.91 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 643.20 ดอลลาร์สหรัฐ (19.91 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.62 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,393.20 ดอลลาร์สหรัฐ (43.83 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,416.40 ดอลลาร์สหรัฐ (43.83 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.64 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 55.00 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อย 18.18
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.24 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 31.11 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อย 12.44
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 55.00 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อย 18.18
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.24 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 31.11 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อย 12.44
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนมีนาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 66.15 เซนต์(กิโลกรัมละ 46.52 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 68.13 เซนต์ (กิโลกรัมละ 47.13 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.91 และลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.61 บาท
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,768 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,763 บาทจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.28
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,385 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,425 บาทจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.89
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 867 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,385 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,425 บาทจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.89
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 867 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ภาวะตลาดสุกรไม่ค่อยคึกคัก ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเริ่มลดลง แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 69.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 70.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.66 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 68.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.71 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 70.72 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 71.00 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,000 บาท (บวกลบ 64 บาท) ลดลงจากตัวละ 2,100 บาท (บวกลบ 66 บาทของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.76
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.92
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่ชะลอตัวลงจากสถานศึกษาต่างๆ ทยอยปิดภาคเรียน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 39.05 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 38.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.70 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.39 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่ สถานศึกษาต่างๆเริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่เริ่มมีมากและสะสม แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาและความต้องการบริโภคจะลดลงเล็กน้อย เพราะสถานศึกษาปิดภาคเรียน
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 272 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 273 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.37 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 308 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 274 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 262 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 291 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 331 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 335 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.20 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 348 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 340 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 307 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 92.41 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 91.70 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.77 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 88.61 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 93.97 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.97 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.49 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.70 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.83 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ภาวะตลาดสุกรไม่ค่อยคึกคัก ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเริ่มลดลง แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 69.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 70.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.66 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 68.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.71 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 70.72 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 71.00 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,000 บาท (บวกลบ 64 บาท) ลดลงจากตัวละ 2,100 บาท (บวกลบ 66 บาทของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.76
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.92
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่ชะลอตัวลงจากสถานศึกษาต่างๆ ทยอยปิดภาคเรียน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 39.05 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 38.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.70 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 39.39 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่ สถานศึกษาต่างๆเริ่มทยอยปิดภาคเรียน ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่เริ่มมีมากและสะสม แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาและความต้องการบริโภคจะลดลงเล็กน้อย เพราะสถานศึกษาปิดภาคเรียน
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 272 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 273 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.37 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 308 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 274 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 262 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 291 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 331 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 335 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.20 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 348 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 340 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 307 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 92.41 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 91.70 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.77 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.33 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 88.61 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 93.97 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 102.86 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 68.97 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.49 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.70 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.46 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 64.83 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 21 – 27 กุมภาพันธ์ 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.76 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 86.06 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 141.40 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 143.62 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.22 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.17 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.83 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.66 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.62 บาท ราคา ลดลงจากกิโลกรัมละ 84.79 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.17 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.18 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 21 – 27 กุมภาพันธ์ 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.76 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 86.06 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.30 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 141.40 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 143.62 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.22 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.17 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.83 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.66 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.62 บาท ราคา ลดลงจากกิโลกรัมละ 84.79 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.17 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.18 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา