- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 6-12 ธันวาคม 2562
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง
(8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริม
การปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด และได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่
1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,490 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,278 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.60
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,808 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,813 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.07
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,375 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,350 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,093 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,829 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,705 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 416 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,495 บาท/ตัน)
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 413 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,405 บาท/ตัน)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0355
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย
และบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 ซึ่งเป็นโครงการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ประกอบด้วย 1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปี 2562/63 เพื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวในยุ้งฉาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท และวงเงินงบประมาณจ่ายขาด 2,870 ล้านบาท เพื่อเป็น
ค่าฝากเก็บ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวในยุ้งฉางของตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน 2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2562/63 วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 31 ธันวาคม 2563 และ 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปี 2562/63 เป้าหมายเพื่อดูดซับผลผลิตปริมาณ 4 ล้านตัน โดยใช้เงินคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ วงเงินชดเชย 510 ล้านบาท
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นบข. ได้อนุมัติจัดสรรวงเงินเพิ่มเติม โครงการสินเชื่อชะลอข้าวเปลือกอีก 1,370 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรวงเงินงบประมาณปี 2564 และปีต่อๆ ไปด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นบข. ยังได้รับทราบแนวโน้มการส่งออกข้าวไทย ช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2562 ปริมาณและมูลค่า ลดลงร้อยละ 28 และร้อยละ 2.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวลดลง
ทำให้การส่งออกตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 8 ล้านตัน ไม่ถึงเป้าหมาย 9 ล้านตัน สาเหตุที่การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้
ปรับลดลง เนื่องจากปีนี้การค้าข้าวในตลาดโลกชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี ทำให้ไทยส่งออกข้าวลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวของประเทศผู้นำเข้าลดลง อีกทั้งจีนมีสต็อกข้าวเพิ่มขึ้น และได้เปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกที่สำคัญในตลาดโลก ประกอบกับต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย
สถานการณ์การแข่งขันของผู้ส่งออกข้าวในตลาดโลก ปีการผลิต 2562/63 ประเทศผู้ส่งออกข้าวยังคงมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง โดยคาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวโลกมีประมาณ 497.77 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 0.24 จากปีที่ผ่านมา การค้าข้าวโลกมีประมาณ 46.30 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปีที่ผ่านมา ขณะที่สต็อกข้าวโลกคาดว่ามีประมาณ175.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งปริมาณสต็อกข้าวที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าว
ในปีหน้าได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ฟิลิปปินส์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีดูแตร์เต ออกคำสั่งประกาศระงับการนำเข้าข้าว (Suspending Rice Importation) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ล่าสุดได้เปลี่ยนใจถอนคำสั่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะเพียงพอต่อความต้องการจากผลกระทบพายุไต้ฝุ่นที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญเป็นประจำ
ประธานาธิบดีโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต แจ้งว่าหลังจากประชุมหารือกับ Mr. Salvador Medialdea Executive Secretary, Mr. William Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และ Mr. Carlos Dominguez III รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตัดสินใจยกเลิกคำสั่งการระงับการนำเข้าข้าว (Suspending Rice Importation) เนื่องจากเห็นว่าผลผลิตข้าวของฟิลิปปินส์มีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เพราะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าพายุไต้ฝุ่นจะเข้ามาทำลายผลผลิต พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตร รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกข้าวเมื่อไหร่ และปริมาณผลผลิตจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศหรือไม่ ซึ่งฟิลิปปินส์ยังจำเป็นต้องพึ่งพา
การนำเข้าเพื่อเติมเต็มความต้องการใช้ภายในประเทศ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีดูแตร์เตได้ออกคำสั่งระงับการนำเข้าข้าว เพื่อหวังจะช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการนำเข้าข้าวจำนวนมาก ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวประธานาธิบดีดูแตร์เตอ้างว่าเขาเข้าใจผิดอย่างมาก
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีดูแตร์เตกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรรับซื้อ ข้าวเปลือกจากเกษตรกรทั้งหมด แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าเกษตรกรประสบความยากลำบากอาจจะเข้าร่วมกับกองกำลังประชาชนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อนั้นจะยิ่งทำให้รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยประธานาธิบดีดูแตร์เตกล่าวว่า การซื้อข้าวเปลือกดังกล่าวเป็นการซื้อความไม่สงบทางสังคม
ทั้งนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้แสดงท่าทีว่ายังคงใช้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวต่อไป โดยกลุ่มเกษตรกรกำลังพยายามผลักดันให้มีการใช้มาตรการ Safeguard อีกครั้ง ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งฟิลิปปินส์ กล่าวว่าการใช้มาตรการ Safeguard เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาปริมาณการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
การเปิดเสรีนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ส่งผลดีและผลเสียต่อการส่งออกข้าวไทยไปยังฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเสรี
นำเข้า ทำให้ตลาดเปิดกว้างขึ้น ส่งออกได้ง่ายและสะดวกขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวดังกล่าว กลับส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวภายในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้สถานการณ์ตลาดข้าวในฟิลิปปินส์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและอ่อนไหวสูง ทั้งนี้ จากสถิติกรมศุลกากรฟิลิปปินส์ รายงานว่า
จนถึงปัจจุบันฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวแล้วกว่า 2.9 ล้านตัน มากกว่าการนำเข้าปีที่ผ่านมาถึงสองเท่าที่มีปริมาณ 1.3 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 70 ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ไทย ร้อยละ 14 และเมียนมา ร้อยละ 8 ซึ่งปริมาณการนำเข้าข้าวที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการเปิดเสรีนำเข้าข้าว และส่งผลให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวอันดับ 1 ของโลกในปีนี้ แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน
อย่างไรก็ดี จากสถิติพบว่าแนวโน้มการนำเข้าข้าวจากไทยกลับลดลง เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งมาก ทำให้ผู้ส่งออกข้าวไทยประสบความยากลำบากในการแข่งขันด้านราคา โดยตลาดข้าวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่
ยังเป็นตลาดระดับล่าง ผู้บริโภคมองเรื่องราคาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ จึงทำให้ข้าวไทยไม่สามารถขยาย
การส่งออกมาฟิลิปปินส์ได้ ดังนั้นในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยอาจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับลูกค้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี ตลอดจนมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการเจาะตลาดในฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มข้าวคุณภาพดีและข้าวเพื่อสุขภาพของไทย เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวอินทรีย์ และข้าวกล้อง เป็นต้น เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่และมีกำลังซื้อในฟิลิปปินส์ หันมาสนใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน 2562 ราคาข้าวเปลือกขยับสูงขึ้น ขณะที่ข้าวสารยังคงปรับลดลงจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (ราคาข้าวเคยพุ่งสูงขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 15.45 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 304.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจาก 15.44 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 303.62 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ลดลงประมาณร้อยละ 23.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ 37.39 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 735.94 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 37.55 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 738.39 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ 41.60 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 818.80 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 41.67 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 819.81 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) กิโลกรัมละ 33.27 เปโซ หรือประมาณตันละ 654.84 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.38 เปโซ หรือประมาณตันละ 656.39 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) กิโลกรัมละ 36.69 เปโซ หรือประมาณตันละ 722.16 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากกิโลกรัมละ 36.83 เปโซ หรือประมาณตันละ 724.24 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า หน่วยงาน The Mindanao Development Authority (MinDA) กล่าวว่า ในปีหน้าโครงการเกี่ยวกับการผลิตและการส่งออกข้าวออร์แกนิคได้รับการจัดให้เป็นโครงการที่มีความสำคัญในอันดับต้นๆ สำหรับเขตเกาะทางใต้ของฟิลิปปินส์ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะทำงานด้านเทคนิคในการรับรองข้าวอินทรีย์ของ MinDA ได้จัดโรดโชว์แสดงมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์สากล ณ เมือง Molave, Zamboanga del Sur มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวออร์แกนิคเข้าร่วมงานกว่า 200 ราย จากจังหวัด Lanao del Norte, Misamis Occidental, Zamboanga del Norte และ Zamboangadel Sur โดยนาง Janet M. Lopoz ผู้บริหารหน่วยงาน MinDA กล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วนในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนและเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
นาย Olie B. Dagala ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ MinDA
กล่าวว่า การพัฒนาข้าวออร์แกนิคที่มีมูลค่าสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับผลกระทบจากกฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว (Republic Act 11203) ที่มีการลดข้อจำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวและใช้วิธีเก็บภาษีในการควบคุมนำเข้า ซึ่งหลังจากการบังคับใช้กฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว หน่วยงานได้ดำเนินการตรวจสอบว่ามีเกษตรกรที่ละทิ้งการปลูกข้าวหรือเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชอย่างอื่นจากผลกระทบกฎหมายดังกล่าวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข้าวออร์แกนิคเป็นสินค้าสำหรับตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่สามารถสร้างกำไรสูงและมี ศักยภาพในการส่งออกแต่การปลูกข้าวออร์แกนิคยังมีไม่มากนักในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ตลาดข้าวออร์แกนิคในฟิลิปปินส์ยังมีขนาดค่อนข้างจำกัด และได้รับความนิยมเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภค
ที่รักสุขภาพและมีกำลังซื้อ เนื่องจากมีราคาสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่นๆ แต่คาดว่าแนวโน้มของกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าว
จะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี การเกษตรอินทรีย์ในฟิลิปปินส์ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนักและยังไม่ได้มาตรฐานในระดับสากล นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่เพาะปลูกข้าวและประสบภัยธรรมชาติบ่อย ประกอบกับปัจจุบันมีการเปิดเสรีนำเข้าข้าว ทำให้ปริมาณข้าวจากต่างประเทศมีราคาถูกและเข้าสู่ตลาดฟิลิปปินส์จำนวนมาก ทำให้เกษตรกรฟิลิปปินส์จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกมาให้การสนับสนุนโครงการข้าวอินทรีย์แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของข้าวอินทรีย์ในฟิลิปปินส์ในอนาคต
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง
(8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริม
การปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่
1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,490 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,278 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.60
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,808 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,813 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.07
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,375 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,350 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,093 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,829 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,705 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 416 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,495 บาท/ตัน)
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 413 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,405 บาท/ตัน)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.0355
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ไทย
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย
และบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 ซึ่งเป็นโครงการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ประกอบด้วย 1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปี 2562/63 เพื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวในยุ้งฉาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท และวงเงินงบประมาณจ่ายขาด 2,870 ล้านบาท เพื่อเป็น
ค่าฝากเก็บ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวในยุ้งฉางของตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน 2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2562/63 วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 31 ธันวาคม 2563 และ 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปี 2562/63 เป้าหมายเพื่อดูดซับผลผลิตปริมาณ 4 ล้านตัน โดยใช้เงินคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ วงเงินชดเชย 510 ล้านบาท
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นบข. ได้อนุมัติจัดสรรวงเงินเพิ่มเติม โครงการสินเชื่อชะลอข้าวเปลือกอีก 1,370 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรวงเงินงบประมาณปี 2564 และปีต่อๆ ไปด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นบข. ยังได้รับทราบแนวโน้มการส่งออกข้าวไทย ช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2562 ปริมาณและมูลค่า ลดลงร้อยละ 28 และร้อยละ 2.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวลดลง
ทำให้การส่งออกตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 8 ล้านตัน ไม่ถึงเป้าหมาย 9 ล้านตัน สาเหตุที่การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้
ปรับลดลง เนื่องจากปีนี้การค้าข้าวในตลาดโลกชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี ทำให้ไทยส่งออกข้าวลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวของประเทศผู้นำเข้าลดลง อีกทั้งจีนมีสต็อกข้าวเพิ่มขึ้น และได้เปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกที่สำคัญในตลาดโลก ประกอบกับต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย
สถานการณ์การแข่งขันของผู้ส่งออกข้าวในตลาดโลก ปีการผลิต 2562/63 ประเทศผู้ส่งออกข้าวยังคงมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง โดยคาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวโลกมีประมาณ 497.77 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 0.24 จากปีที่ผ่านมา การค้าข้าวโลกมีประมาณ 46.30 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปีที่ผ่านมา ขณะที่สต็อกข้าวโลกคาดว่ามีประมาณ175.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งปริมาณสต็อกข้าวที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าว
ในปีหน้าได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ฟิลิปปินส์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีดูแตร์เต ออกคำสั่งประกาศระงับการนำเข้าข้าว (Suspending Rice Importation) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ล่าสุดได้เปลี่ยนใจถอนคำสั่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะเพียงพอต่อความต้องการจากผลกระทบพายุไต้ฝุ่นที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญเป็นประจำ
ประธานาธิบดีโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต แจ้งว่าหลังจากประชุมหารือกับ Mr. Salvador Medialdea Executive Secretary, Mr. William Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และ Mr. Carlos Dominguez III รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตัดสินใจยกเลิกคำสั่งการระงับการนำเข้าข้าว (Suspending Rice Importation) เนื่องจากเห็นว่าผลผลิตข้าวของฟิลิปปินส์มีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เพราะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าพายุไต้ฝุ่นจะเข้ามาทำลายผลผลิต พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตร รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกข้าวเมื่อไหร่ และปริมาณผลผลิตจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศหรือไม่ ซึ่งฟิลิปปินส์ยังจำเป็นต้องพึ่งพา
การนำเข้าเพื่อเติมเต็มความต้องการใช้ภายในประเทศ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีดูแตร์เตได้ออกคำสั่งระงับการนำเข้าข้าว เพื่อหวังจะช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการนำเข้าข้าวจำนวนมาก ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวประธานาธิบดีดูแตร์เตอ้างว่าเขาเข้าใจผิดอย่างมาก
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีดูแตร์เตกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรรับซื้อ ข้าวเปลือกจากเกษตรกรทั้งหมด แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าเกษตรกรประสบความยากลำบากอาจจะเข้าร่วมกับกองกำลังประชาชนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อนั้นจะยิ่งทำให้รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยประธานาธิบดีดูแตร์เตกล่าวว่า การซื้อข้าวเปลือกดังกล่าวเป็นการซื้อความไม่สงบทางสังคม
ทั้งนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้แสดงท่าทีว่ายังคงใช้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวต่อไป โดยกลุ่มเกษตรกรกำลังพยายามผลักดันให้มีการใช้มาตรการ Safeguard อีกครั้ง ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งฟิลิปปินส์ กล่าวว่าการใช้มาตรการ Safeguard เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาปริมาณการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
การเปิดเสรีนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ส่งผลดีและผลเสียต่อการส่งออกข้าวไทยไปยังฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเสรี
นำเข้า ทำให้ตลาดเปิดกว้างขึ้น ส่งออกได้ง่ายและสะดวกขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวดังกล่าว กลับส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวภายในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้สถานการณ์ตลาดข้าวในฟิลิปปินส์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและอ่อนไหวสูง ทั้งนี้ จากสถิติกรมศุลกากรฟิลิปปินส์ รายงานว่า
จนถึงปัจจุบันฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวแล้วกว่า 2.9 ล้านตัน มากกว่าการนำเข้าปีที่ผ่านมาถึงสองเท่าที่มีปริมาณ 1.3 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 70 ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ไทย ร้อยละ 14 และเมียนมา ร้อยละ 8 ซึ่งปริมาณการนำเข้าข้าวที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการเปิดเสรีนำเข้าข้าว และส่งผลให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวอันดับ 1 ของโลกในปีนี้ แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน
อย่างไรก็ดี จากสถิติพบว่าแนวโน้มการนำเข้าข้าวจากไทยกลับลดลง เนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งมาก ทำให้ผู้ส่งออกข้าวไทยประสบความยากลำบากในการแข่งขันด้านราคา โดยตลาดข้าวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่
ยังเป็นตลาดระดับล่าง ผู้บริโภคมองเรื่องราคาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ จึงทำให้ข้าวไทยไม่สามารถขยาย
การส่งออกมาฟิลิปปินส์ได้ ดังนั้นในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยอาจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับลูกค้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี ตลอดจนมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการเจาะตลาดในฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มข้าวคุณภาพดีและข้าวเพื่อสุขภาพของไทย เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวอินทรีย์ และข้าวกล้อง เป็นต้น เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่และมีกำลังซื้อในฟิลิปปินส์ หันมาสนใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน 2562 ราคาข้าวเปลือกขยับสูงขึ้น ขณะที่ข้าวสารยังคงปรับลดลงจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (ราคาข้าวเคยพุ่งสูงขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 15.45 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 304.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจาก 15.44 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 303.62 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ลดลงประมาณร้อยละ 23.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ 37.39 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 735.94 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 37.55 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 738.39 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ 41.60 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 818.80 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 41.67 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 819.81 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) กิโลกรัมละ 33.27 เปโซ หรือประมาณตันละ 654.84 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.38 เปโซ หรือประมาณตันละ 656.39 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) กิโลกรัมละ 36.69 เปโซ หรือประมาณตันละ 722.16 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากกิโลกรัมละ 36.83 เปโซ หรือประมาณตันละ 724.24 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า หน่วยงาน The Mindanao Development Authority (MinDA) กล่าวว่า ในปีหน้าโครงการเกี่ยวกับการผลิตและการส่งออกข้าวออร์แกนิคได้รับการจัดให้เป็นโครงการที่มีความสำคัญในอันดับต้นๆ สำหรับเขตเกาะทางใต้ของฟิลิปปินส์ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะทำงานด้านเทคนิคในการรับรองข้าวอินทรีย์ของ MinDA ได้จัดโรดโชว์แสดงมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์สากล ณ เมือง Molave, Zamboanga del Sur มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวออร์แกนิคเข้าร่วมงานกว่า 200 ราย จากจังหวัด Lanao del Norte, Misamis Occidental, Zamboanga del Norte และ Zamboangadel Sur โดยนาง Janet M. Lopoz ผู้บริหารหน่วยงาน MinDA กล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วนในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนและเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
นาย Olie B. Dagala ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ MinDA
กล่าวว่า การพัฒนาข้าวออร์แกนิคที่มีมูลค่าสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับผลกระทบจากกฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว (Republic Act 11203) ที่มีการลดข้อจำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวและใช้วิธีเก็บภาษีในการควบคุมนำเข้า ซึ่งหลังจากการบังคับใช้กฎหมายการเปิดเสรีนำเข้าข้าว หน่วยงานได้ดำเนินการตรวจสอบว่ามีเกษตรกรที่ละทิ้งการปลูกข้าวหรือเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชอย่างอื่นจากผลกระทบกฎหมายดังกล่าวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข้าวออร์แกนิคเป็นสินค้าสำหรับตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่สามารถสร้างกำไรสูงและมี ศักยภาพในการส่งออกแต่การปลูกข้าวออร์แกนิคยังมีไม่มากนักในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ตลาดข้าวออร์แกนิคในฟิลิปปินส์ยังมีขนาดค่อนข้างจำกัด และได้รับความนิยมเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภค
ที่รักสุขภาพและมีกำลังซื้อ เนื่องจากมีราคาสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่นๆ แต่คาดว่าแนวโน้มของกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าว
จะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี การเกษตรอินทรีย์ในฟิลิปปินส์ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนักและยังไม่ได้มาตรฐานในระดับสากล นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่เพาะปลูกข้าวและประสบภัยธรรมชาติบ่อย ประกอบกับปัจจุบันมีการเปิดเสรีนำเข้าข้าว ทำให้ปริมาณข้าวจากต่างประเทศมีราคาถูกและเข้าสู่ตลาดฟิลิปปินส์จำนวนมาก ทำให้เกษตรกรฟิลิปปินส์จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกมาให้การสนับสนุนโครงการข้าวอินทรีย์แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของข้าวอินทรีย์ในฟิลิปปินส์ในอนาคต
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.81 บาท
ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.21 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.09 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.97
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.73 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.97 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.68 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.38 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.50 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.41
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 295.25 ดอลลาร์สหรัฐ (8,868 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 303.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,085 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.56 และลดลง
ในรูปของเงินบาทตันละ 217 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2562 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 375.60 เซนต์ (4,507 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 377.88 เซนต์ (4,527 บาท/ตัน)
ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.60 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 20 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 31.474 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.53 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.72 ล้านไร่ ผลผลิต 30.995 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.56 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต สูงขึ้นร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.53 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.62 โดยเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 2.87 ล้านตัน (ร้อยละ 9.12 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.61 ล้านตัน (ร้อยละ 55.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก สำหรับราคาหัวมันสำปะหลังสดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.97 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.93 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.07
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.37 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.05 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.34
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.08 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.90 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 12.94 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.31
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,998 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (6,986 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,606 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,583 บาทต่อตัน)
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 31.474 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.53 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.72 ล้านไร่ ผลผลิต 30.995 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.56 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต สูงขึ้นร้อยละ 2.18 และร้อยละ 1.53 ตามลำดับ แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.62 โดยเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 2.87 ล้านตัน (ร้อยละ 9.12 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 17.61 ล้านตัน (ร้อยละ 55.96 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มากนัก สำหรับราคาหัวมันสำปะหลังสดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.97 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.93 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.07
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.37 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.05 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.34
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.08 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.90 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 12.94 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.31
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 233 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,998 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (6,986 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,606 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,583 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2562 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนธันวาคมจะมีประมาณ 1.118
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.201 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.261 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.227 ล้านตัน ของเดือนพฤศจิกายน คิดเป็นร้อยละ 11.34 และร้อยละ 11.45 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 4.06 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.05 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.25
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 26.84 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 22.94 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 17.00
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,833.81 ดอลลาร์มาเลเซีย (20.95 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,703.71 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.88 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.81
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 760.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23.18 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 715.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.76 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.36
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
รายงานการส่งออกน้ำตาลของบราซิล
กระทรวงการค้าบราซิลรายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562/2563 (เมษายน-มีนาคม) บราซิลส่งออกน้ำตาลจำนวน 13.57 ล้านตัน ลดลงจาก 15.09 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 10.07 และรวมในปี 2561/2562 บราซิลส่งออกน้ำตาลจำนวน 20.18 ล้านตัน ลดลงจาก 28.30 ล้านตัน ของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 28.69
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 15.80 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.43
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์การผลิตถั่วเหลืองสหรัฐอเมริกา
จากข้อมูลสถิติด้านการเกษตรแห่งชาติของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ระบุว่า การผลิตถั่วเหลือง ในปีนี้จะอยู่ที่ 153 ล้านบุชเชล ลดลง 39% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เปียกชื้นในปีนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อการเพาะปลูกถั่วเหลืองทั่วทั้งรัฐ และ USDA กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่าผลผลิตถั่วเหลืองอยู่ที่ 43 บุชเชลต่อเอเคอร์ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2562 ซึ่งลดลง 2 บุชเชลต่อเอเคอร์ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 895.9 เซนต์ (10.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 876.04 เซนต์ (9.79 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.27
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 295.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.0 บาท/กก.) สูงขึ้น จากตันละ 293.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.55
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 31.42 เซนต์ (21.11 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 30.19 เซนต์ (20.25 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.07
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 15.80 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.43
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์การผลิตถั่วเหลืองสหรัฐอเมริกา
จากข้อมูลสถิติด้านการเกษตรแห่งชาติของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ระบุว่า การผลิตถั่วเหลือง ในปีนี้จะอยู่ที่ 153 ล้านบุชเชล ลดลง 39% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เปียกชื้นในปีนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อการเพาะปลูกถั่วเหลืองทั่วทั้งรัฐ และ USDA กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่าผลผลิตถั่วเหลืองอยู่ที่ 43 บุชเชลต่อเอเคอร์ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2562 ซึ่งลดลง 2 บุชเชลต่อเอเคอร์ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 895.9 เซนต์ (10.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 876.04 เซนต์ (9.79 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.27
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 295.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.0 บาท/กก.) สูงขึ้น จากตันละ 293.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.94 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.55
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 31.42 เซนต์ (21.11 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 30.19 เซนต์ (20.25 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.07
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.74 บาท เพิ่มขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 21.47 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.92
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,030.75 ดอลลาร์สหรัฐ (30.96 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,033.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาทจากสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 930.50 ดอลลาร์สหรัฐ (27.95 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 932.25 ดอลลาร์สหรัฐ (27.95 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.19 แต่ในรูปเงินบาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,030.75 ดอลลาร์สหรัฐ (30.96 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,033.00 ดอลลาร์สหรัฐ (30.97 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.50 บาทจากสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 596.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.90 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 613.75 ดอลลาร์สหรัฐ (18.40 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.89 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.51 บาทจากสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,024.25 ดอลลาร์สหรัฐ (30.76 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,042.75 ดอลลาร์สหรัฐ (31.27 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.77 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.51 บาทจากสัปดาห์ก่อน
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.75 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.91 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 37.71 บาท
ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.53
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.75 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.91 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 37.71 บาท
ของสัปดาห์ก่อนร้อย 0.53
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนมีนาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 66.07 เซนต์(กิโลกรัมละ 44.39 บาท) เพิ่มขึ้นจากปอนด์ละ 64.68 เซนต์ (กิโลกรัมละ 43.39 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.00 บาท
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,757 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,752 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.29
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,425 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 783 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยวและมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเริ่มมีมากขึ้น แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาและความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 60.72 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.39 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.55 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 56.35 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 60.14 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 62.29 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 59.09 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,900 บาท (บวกลบ 63 บาท) สูงขึ้นจากตัวละ 1,800 (บวกลบ 61 บาท) ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.56
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 62.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.20
สถานการณ์ตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยวและมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเริ่มมีมากขึ้น แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาและความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 60.72 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.39 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.55 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 56.35 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 60.14 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 62.29 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 59.09 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 1,900 บาท (บวกลบ 63 บาท) สูงขึ้นจากตัวละ 1,800 (บวกลบ 61 บาท) ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.56
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 64.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 62.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.20
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ภาวะตลาดไก่เนื้อ ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคสอดคล้องกับผลผลิตไก่เนื้อที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าความต้องการบริโภคมีมากขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 37.08 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 36.99 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.75 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 48.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.58
สัปดาห์นี้ภาวะตลาดไก่เนื้อ ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคสอดคล้องกับผลผลิตไก่เนื้อที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าความต้องการบริโภคมีมากขึ้น
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 37.08 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 36.99 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 15.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.75 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 48.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.58
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่มีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย เพราะจากสภาพอากาศที่เย็นและเอื้ออำนวยให้แม่ไก่ออกไข่มากและเริ่มสะสม
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 281 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 282 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.35 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 307 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 276 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 276 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 301 บาท ลดลงจากร้อยละฟองละ 311 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.22
ในสัปดาห์นี้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคที่มีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย เพราะจากสภาพอากาศที่เย็นและเอื้ออำนวยให้แม่ไก่ออกไข่มากและเริ่มสะสม
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 281 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 282 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.35 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 307 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 276 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 276 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 301 บาท ลดลงจากร้อยละฟองละ 311 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.22
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 324 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 340 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 339 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 307 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 324 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 340 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 339 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 307 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 90.73 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90.11 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.69 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.56 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 91.37 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 101.43 บาท
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 90.73 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90.11 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.69 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 86.56 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 91.37 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 101.43 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 69.12 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.91 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.06 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 69.12 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.91 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.23 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.06 ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2562) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.35 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 89.28 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.93 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 141.71 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 144.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 142.50 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 141.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.50 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.47 บาท ราคา สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.84 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 14.63 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ย กิโลกรัมละ 170.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 144.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 26.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.62 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคา
ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2562) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.35 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 89.28 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.93 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 141.71 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 144.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 142.50 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 141.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.50 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.47 บาท ราคา สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.84 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 14.63 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ย กิโลกรัมละ 170.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 144.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 26.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.62 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ราคา
ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา