- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
- รายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตร
ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
ชันโรง ผึ้งจิ๋วกามเทพ ช่วยผสมเกสรไม้ผล ลูกดกผลผลิตเพิ่ม
ข่าวที่ 87/2561 วันที่ 16 สิงหาคม 2561
ชันโรง ผึ้งจิ๋วกามเทพ ช่วยผสมเกสรไม้ผล ลูกดกผลผลิตเพิ่ม
สศท. 10 ติดตามแปลงใหญ่ผึ้งชันโรง หรือ ผึ้งจิ๋ว จ.สมุทรสงคราม อีกหนึ่งตัวช่วยผสมเกสรให้ผลไม้ติดลูกดกในสวนเกษตรแบบผสมผสานและเกษตรอินทรีย์ ช่วยเกษตรกรเพิ่มผลผลิตแบบพึ่งพาตามธรรมชาติ ดูแลง่าย แถมมีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป และเป็นที่ต้องการของตลาด
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การเลี้ยงชันโรง หรือ ผึ้งจิ๋ว ซึ่งเป็นแมลงประจำถิ่น ได้เลี้ยงเพื่อใช้เป็นแมลงผสมเกสร โดยเฉพาะสวนผลไม้ เช่น ทุเรียน และ เงาะ โดยชันโรงเป็นแมลงผสมเกสรที่ไม่มีการเลือกเฉพาะเจาะจงกับชนิดของดอกไม้ สามารถผสมเกสรพืชได้หลากหลายชนิดมากกว่าผึ้งพันธุ์ อีกทั้งไม่มีเหล็กใน จึงไม่มีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง และระยะทางในการบินไปหาอาหารจะไม่ไกลจากรังมากนัก สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี (สศท.10) จึงได้ศึกษาถึงแนวทางการนำชันโรงมาเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และช่วยลดการใช้สารเคมี จากการดำเนินการระบบแปลงใหญ่ซึ่งจากการสัมภาษณ์ ประธานแปลงใหญ่ชันโรง (นายวสันต์ ภูผา) ศูนย์เพาะเลี้ยงชันโรง บ้านสวนภูผา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พบว่า จุดเริ่มต้นมาจากความต้องการเพิ่มผลผลิตในสวนขยายสู่การทำธุรกิจ รวมถึงต่อยอดผลพลอยได้จากรังชันโรงเป็นผลิตภัณฑ์ มีกลุ่มลูกค้าหลักที่มาใช้บริการเช่ารังชันโรงเพื่อช่วยผสมเกสรเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนผลไม้นอกพื้นที่ เช่น มะม่วง ลำไย เงาะ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีสมาชิกแปลงใหญ่ชันโรง จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 42 ราย มีชันโรงจำนวนรวมกว่า 3,000 รัง ซึ่งจะเน้นให้เกษตรกรนำชันโรงไปเพิ่มผลผลิตในแปลงเกษตรกรจะมีทั้งมาเช่ารังและซื้อรังชันโรง โดยการเช่าจะมีบริการติดตั้งให้ฟรีและคิดค่าเช่ารังละ30 บาท/วัน พร้อมทำสัญญากับผู้เช่าในเรื่องการดูแลและรักษารังชันโรง เพราะหากชันโรงตายจากการฉีดยาฆ่าแมลงหรือรังชันโรงหาย ผู้เช่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มให้ผู้ให้เช่าซึ่งนับเป็นอีกทางที่ช่วยให้เกษตรกรลดการพึ่งพาสารเคมีได้อีกด้วย และหากเกษตรกรต้องการซื้อรังชันโรง จะจำหน่ายให้ในราคา 1,500 บาท/รังในขณะที่ผลผลิตที่ได้รับจากรังชันโรง ไม่ว่าจะเป็น น้ำผึ้งชันโรง และชัน สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายภายใต้ตราสินค้า“ภูผา” เช่น น้ำผึ้งชันโรง (ผึ้งจิ๋ว) สบู่ และยาหม่องทั้งนี้ น้ำผึ้งชันโรง รสชาติจะออกเปรี้ยวและมีกลิ่นตามผลไม้ที่ชันโรงไปผสมเกสรชันของชันโรงมีสารประกอบฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ยับยั้งการอักเสบได้เป็นอย่างดีมีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งจากผึ้งทั่วไป ช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ ได้ชื่อว่าเป็นผึ้งชนิดเดียวที่ผลิตน้ำผึ้งอินทรีย์ และแนวโน้มความต้องการตลาดสูงโดยราคาของน้ำผึ้งชันโรงสูงถึงกิโลกรัมละ 1,500 บาท เนื่องจากชันโรงกินน้ำหวานเพียงร้อยละ 20 ปริมาณน้ำผึ้งที่ได้แต่ละครั้งจึงไม่มากนัก
ด้านนายฉกาจ ฉันทจิระวัฒน์ ผู้อำนวยการ สศท.10 กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสายพันธุ์ชันโรงทั่วโลกมีประมาณ 140สายพันธุ์ ในประเทศไทยเหลือไม่ถึง 40 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างกันที่ขนาดและความชอบอาหารอย่างสายพันธุ์ที่ตัวใหญ่จะเน้นเก็บน้ำหวาน เช่น พันธุ์ปากแตร พันธุ์อิตาม่า สายพันธุ์ตัวเล็กผสมเกสร เช่น พันธุ์ขนเงิน พันธุ์หลังลาย และยังมีพันธุ์สวยงามที่เลี้ยงไว้ดูเล่น คือ พันธุ์คิชกูฎซึ่งการดูแลนั้น จะเปิดรังให้ชันโรงได้รับแสงเดือนละครั้งเพื่อลดความดุร้าย อาหารหลักของชันโรงเป็นเกสรดอกไม้ร้อยละ 80 ขณะที่กินน้ำหวานเพียงร้อยละ 20นับว่าตอบโจทย์ความต้องการเพิ่มผลผลิตในสวนมะพร้าวส้มโอ และลิ้นจี่ อย่างชัดเจน ช่วยเพิ่มผลผลิตจากเดิมได้ประมาณร้อยละ 30-40 ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าเป็นสวนที่ปลูกผลไม้เต็มพื้นที่จะใช้รังชันโรงไม่ต่ำกว่า 10 รัง/ไร่ แต่หากเป็นสวนมะพร้าว หรือสวนผสมอื่นๆ จะใช้เพียง 4-5 รัง/ไร่ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงชันโรง ต้องมีแหล่งอาหารตลอดทั้งปี หากเป็นสวนที่มีผลไม้ติดดอกครั้งเดียวต่อปี ชันโรงจะขาดอาหาร ซึ่งสามารถแก้ปัญหาด้วยการปลูกข้าวโพด หรือไม้ดอกหมุนเวียน เพื่อให้มีแหล่งอาหารแก่ชันโรงต่อเนื่องตลอดปีได้ ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสามารถขอคำแนะนำได้ที่ คุณวสันต์ ซึ่งยินดีถ่ายทอดความรู้ ในการนำชันโรงไปเพิ่มผลผลิต หรือนำไปจำหน่าย สามารถสร้างแบรนด์ของตนเองได้ รวมทั้งรับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรด้วยเช่นกัน โดยสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 089 224 1134 หรือ Facebook ศูนย์เพาะเลี้ยงชันโรง บ้านสวนภูผา
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การเลี้ยงชันโรง หรือ ผึ้งจิ๋ว ซึ่งเป็นแมลงประจำถิ่น ได้เลี้ยงเพื่อใช้เป็นแมลงผสมเกสร โดยเฉพาะสวนผลไม้ เช่น ทุเรียน และ เงาะ โดยชันโรงเป็นแมลงผสมเกสรที่ไม่มีการเลือกเฉพาะเจาะจงกับชนิดของดอกไม้ สามารถผสมเกสรพืชได้หลากหลายชนิดมากกว่าผึ้งพันธุ์ อีกทั้งไม่มีเหล็กใน จึงไม่มีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง และระยะทางในการบินไปหาอาหารจะไม่ไกลจากรังมากนัก สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี (สศท.10) จึงได้ศึกษาถึงแนวทางการนำชันโรงมาเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และช่วยลดการใช้สารเคมี จากการดำเนินการระบบแปลงใหญ่ซึ่งจากการสัมภาษณ์ ประธานแปลงใหญ่ชันโรง (นายวสันต์ ภูผา) ศูนย์เพาะเลี้ยงชันโรง บ้านสวนภูผา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พบว่า จุดเริ่มต้นมาจากความต้องการเพิ่มผลผลิตในสวนขยายสู่การทำธุรกิจ รวมถึงต่อยอดผลพลอยได้จากรังชันโรงเป็นผลิตภัณฑ์ มีกลุ่มลูกค้าหลักที่มาใช้บริการเช่ารังชันโรงเพื่อช่วยผสมเกสรเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนผลไม้นอกพื้นที่ เช่น มะม่วง ลำไย เงาะ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีสมาชิกแปลงใหญ่ชันโรง จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 42 ราย มีชันโรงจำนวนรวมกว่า 3,000 รัง ซึ่งจะเน้นให้เกษตรกรนำชันโรงไปเพิ่มผลผลิตในแปลงเกษตรกรจะมีทั้งมาเช่ารังและซื้อรังชันโรง โดยการเช่าจะมีบริการติดตั้งให้ฟรีและคิดค่าเช่ารังละ30 บาท/วัน พร้อมทำสัญญากับผู้เช่าในเรื่องการดูแลและรักษารังชันโรง เพราะหากชันโรงตายจากการฉีดยาฆ่าแมลงหรือรังชันโรงหาย ผู้เช่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มให้ผู้ให้เช่าซึ่งนับเป็นอีกทางที่ช่วยให้เกษตรกรลดการพึ่งพาสารเคมีได้อีกด้วย และหากเกษตรกรต้องการซื้อรังชันโรง จะจำหน่ายให้ในราคา 1,500 บาท/รังในขณะที่ผลผลิตที่ได้รับจากรังชันโรง ไม่ว่าจะเป็น น้ำผึ้งชันโรง และชัน สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายภายใต้ตราสินค้า“ภูผา” เช่น น้ำผึ้งชันโรง (ผึ้งจิ๋ว) สบู่ และยาหม่องทั้งนี้ น้ำผึ้งชันโรง รสชาติจะออกเปรี้ยวและมีกลิ่นตามผลไม้ที่ชันโรงไปผสมเกสรชันของชันโรงมีสารประกอบฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ยับยั้งการอักเสบได้เป็นอย่างดีมีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งจากผึ้งทั่วไป ช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ ได้ชื่อว่าเป็นผึ้งชนิดเดียวที่ผลิตน้ำผึ้งอินทรีย์ และแนวโน้มความต้องการตลาดสูงโดยราคาของน้ำผึ้งชันโรงสูงถึงกิโลกรัมละ 1,500 บาท เนื่องจากชันโรงกินน้ำหวานเพียงร้อยละ 20 ปริมาณน้ำผึ้งที่ได้แต่ละครั้งจึงไม่มากนัก
ด้านนายฉกาจ ฉันทจิระวัฒน์ ผู้อำนวยการ สศท.10 กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสายพันธุ์ชันโรงทั่วโลกมีประมาณ 140สายพันธุ์ ในประเทศไทยเหลือไม่ถึง 40 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างกันที่ขนาดและความชอบอาหารอย่างสายพันธุ์ที่ตัวใหญ่จะเน้นเก็บน้ำหวาน เช่น พันธุ์ปากแตร พันธุ์อิตาม่า สายพันธุ์ตัวเล็กผสมเกสร เช่น พันธุ์ขนเงิน พันธุ์หลังลาย และยังมีพันธุ์สวยงามที่เลี้ยงไว้ดูเล่น คือ พันธุ์คิชกูฎซึ่งการดูแลนั้น จะเปิดรังให้ชันโรงได้รับแสงเดือนละครั้งเพื่อลดความดุร้าย อาหารหลักของชันโรงเป็นเกสรดอกไม้ร้อยละ 80 ขณะที่กินน้ำหวานเพียงร้อยละ 20นับว่าตอบโจทย์ความต้องการเพิ่มผลผลิตในสวนมะพร้าวส้มโอ และลิ้นจี่ อย่างชัดเจน ช่วยเพิ่มผลผลิตจากเดิมได้ประมาณร้อยละ 30-40 ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าเป็นสวนที่ปลูกผลไม้เต็มพื้นที่จะใช้รังชันโรงไม่ต่ำกว่า 10 รัง/ไร่ แต่หากเป็นสวนมะพร้าว หรือสวนผสมอื่นๆ จะใช้เพียง 4-5 รัง/ไร่ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงชันโรง ต้องมีแหล่งอาหารตลอดทั้งปี หากเป็นสวนที่มีผลไม้ติดดอกครั้งเดียวต่อปี ชันโรงจะขาดอาหาร ซึ่งสามารถแก้ปัญหาด้วยการปลูกข้าวโพด หรือไม้ดอกหมุนเวียน เพื่อให้มีแหล่งอาหารแก่ชันโรงต่อเนื่องตลอดปีได้ ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสามารถขอคำแนะนำได้ที่ คุณวสันต์ ซึ่งยินดีถ่ายทอดความรู้ ในการนำชันโรงไปเพิ่มผลผลิต หรือนำไปจำหน่าย สามารถสร้างแบรนด์ของตนเองได้ รวมทั้งรับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรด้วยเช่นกัน โดยสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 089 224 1134 หรือ Facebook ศูนย์เพาะเลี้ยงชันโรง บ้านสวนภูผา
***********************************
ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์
ข้อมูล : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี
ข้อมูล : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี